วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อที่ ๕.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรรก คิดคำนวณด้วยการสุ่มเดาเอา

อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรรก คิดคำนวณด้วยการสุ่มเดาเอา

การสุ่มเดานี้ มีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดได้ง่ายเหมือนการเดินทาง ถ้าไปด้วยการสุ่มเดาจะมีการหลงทางได้ง่าย จะกลับเข้าเส้นทางที่ถูกต้องนั้นยาก หรืองานทุกประเภท ถ้าทำด้วยการสุ่มเดา จะมีการทำที่ผิดพลาดนั้นสูง จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามเดิมก็ยากที่จะแก้ได้นี้ฉันใด การปฏิบัติธรรมครั้งนี้ความละเอียดอ่อน ถ้าสุ่มเดาในการปฏิบัติถูกก็โชคดีไป ถ้าสุ่มเดาผิดการปฏิบัติก็จะมีผลที่ผิดเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจผิดคิดว่าปฏิบัติถูก ก็จะเกิดความเห็นผิดโดยไม่รู้ตัว เพราะการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของใจโดยตรง ส่วนกายวาจาเพียงเป็นอุบายประกอบเท่านั้น ข้อสำคัญคือใจที่เป็นศูนย์รวมให้แก่หมวดธรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่าใจเป็นใหญ่เป็นประธาน การศึกษาธรรมต้องรู้จักในหมวดธรรมให้ชัดเจนว่า ธรรมหมวดไหนปฏิบัติแล้วให้ผลเป็นอย่างไร ถ้าปฏิบัติไปแบบสุ่มเดา โดยไม่เข้าใจในธรรม ปฏิบัติผิดก็ไม่รู้ปฏิบัติถูกก็ไม่รู้ จะไม่เกิดผลดีแก่ตัวเราแต่อย่างไร

ธรรมหมวดใดที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าไม่ถูกต้องให้พากันละ พวกเราก็ต้องละธรรมหมวดหมวดใดพระพุทธเจ้าสรรเสริญ ให้พากันปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเจริญ เราก็พากันปฏิบัติในธรรมหมวดนั้นๆ ให้เกิดความเจริญแก่ตัวเรายิ่งๆ ขึ้นไป มิใช่ว่าจะพากันพิจารณาปฏิบัติกันแบบสุ่มเดา อาจจะเข้าใจผิดไปว่า ธรรมนี้พระพุทธเจ้าให้ละ แต่เรากลับไปทำให้มากขึ้น หมวดธรรมนี้พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ให้พากันเจริญมากขึ้น แต่ก็พากันละธรรมหมวดนั้นเสีย ถ้าเป็นในลักษณะนี้ จะไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด เหมือนกับการรับเหมางานก่อสร้างอาคารต่างๆ ถ้าคิดราคาประมูลแบบสุ่มเดา ผู้รับเหมามีแต่จะขาดทุน การคำนวณน้ำหนักของอาคารแบบสุ่มเดา ฐานรองรับน้ำหนักของอาคารแบบสุ่มเดา ใส่เหล็กไม่ได้มาตรฐาน อาคารก็ทรงตัวไม่อยู่ จะทำให้เกิดการทรุดตัวพังทลายไปตามๆ กันนี้ฉันใด การปฏิบัติธรรมด้วยการสุ่มเดา จะเอาความถูกต้องที่ชัดเจนไม่ได้เลย ธรรมปลอมก็ไม่รู้ ธรรมจริงก็ไม่เข้าใจ การปฏิบัติจะให้เข้าาถึงซึ่งมรรคผลนิพพานนั้นก็ต้องผิดหวังกันไป
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธัมมวิจยะ การเลือกเฟ้นหาหมวดธรรมที่ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อได้หมวดธรรมที่ถูกต้องมาปฏิบัติ ก็จะเกิดผลดีที่ถูกต้อง ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสนิทใจ ในยุคนี้ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติจะเป็นในลักษณะแบบสุ่มเดา เหมือนคนตาบอกทำงานต้องลูกคลำไปมา เมื่อหาจุดไม่ได้ก็พากันสุ่มเดากันไป ใจก็เกิดความสงสัยลังเลไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติผิดหรือถูก เกิดความไม่แน่ใจในหมวดธรรมนั้นๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการปฏิบัติรูปแบบใด จับต้นชนปลายเกิดความสับสน ไม่แน่ใจในการปฏิบัตของตัวเอง ในที่สุดก็คือการปฏิบัติแบบสุ่มเดา เอาหลักธรรมที่แน่นอนไม่ได้ ปฏิบัติไปแบบสุ่มเดากันไป แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง พากันไปถามหลวงพ่อหลวงตาบอกทางให้ ถ้าถามถูกองค์ที่รู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมที่ถูกต้อง ถือว่าท่านผู้นั้นมีความโชคดีไป ถ้าถามถูกองค์ที่กำลังหลงทางสุ่มเดาเหมือนกับเรา รับรองว่าหลวงพ่อจะเป็นผู้ได้เปรียบ ถามธรรมหมวดไหน หลวงพ่อก็ตอบได้หมดไม่มีคำว่า หลวงพ่อไม่รู้ไม่เข้าใจ กำลังหลงทางสุ่มเดาเหมือนโยมนั้นแหละ จะไม่มีคำอย่างนี้อย่างเด็ดขาด หลวงพ่อจะไม่ยอมเสียโง่ให้กับใครๆ ทั้งนั้นจะต้องแสดงท่าทีลีลาออมา เหมือนักบว่าตัวเองมีความรู้จริงเห็นจริงในธรรมทันที ที่พูดกันอยู่เสมอว่า บอดจูงบอดไปไม่รอด เพราะตาบอดจูงกัน ฉะนั้น คำว่า ตรรก ถ้าหมายถึงคิดแบบสุ่มเดา จะเอาความถูกต้องชอบธรรมอย่างสนิทใจมาจากที่ไหน ในยุคนี้สมัยนี้อยู่ในช่วงบั้นปลายของพระพุทธศาสนา จะหาครูอาจารย์องค์ที่ท่านปฏิบัติดีมีความสามารถ และมีคุณธรรมพอจะหาได้ ถ้าหากเรามีสติปัญญา แสวงหาครูอาจารย์ที่ปฏิบัติมีความชอบธรรม จะหาท่านองค์นั้นได้โดยไม่เหลือวิสัย
การสุ่มเดาถือว่าเป็นความเสี่ยงเป็นทั้งผิดและถูกเรียกได้ว่าถูกน้อยผิดมาก เฉพาะเรื่องมรรคผลนิพพานเป็นสถานที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ไปมาก่อนว่า มรรคผลนิพพานเป็นอย่างนี้ ส่วนอุบายแนวทางที่จะปฏิบัติเพื่อให้ถึงจุดนั้นจะมีการเริ่มต้นจากอุบายวิธีในการปฏิบัติอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็จะพากันสุ่มเดา เรียกว่าปฏิบัติแบบสุ่มเดาเพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสไว้เป็นจำนวณ เพราะจริตนิสัยของคนในยุคนั้น มีความแตกต่างกัน พระองค์จึงมีอุบายในธรรม ที่มีความแตกต่างไม่เหมือนกัน เมื่อเอามารวมกันไว้ในที่เดียวกันจึงเป็นพระธรรมคำสอนของพระองค์จำนวนมาก ถ้าผู้ฉลาดมีสติปัญญา จะเอาหมวดธรรมมาปฏิบัติ ให้ถูกกับจริตนิสัยของตัวเราไม่ยากเลย จะไม่มีการสุ่มเดาให้เสียเวลา ฉะนั้นเราต้องศึกษาจริตนิสัยของตัวเราให้รู้ว่า เรามีจริตนิสัยอะไร เมื่อมารู้มาเข้าใจในจริตนิสัยของตัวแล้ว ก็คัดจัดสรรหาหมวดธรรมมาปฏิบัติให้มีความต่อเนื่องกัน อีกไม่นานผลของการีปฏิบัติ ก็จะเกิดขึ้นที่ตัวเราเอง เหมือนกับคนป่วยกินยาถูกกับโรคกินไปไม่นานโรคก็จะหายไป ไม่เหมือนคนป่วยกินยาแบบสุ่มเดา กินยาหมดไปไม่รู้ว่ากี่ตัวกี่ชนิด โรคก็ไม่หายไปได้ นี้ก็เพราะกินยาแบบสุ่มเดา นี้ฉันใดการปฏิบัติธรรมแบบสุ่มเดา จะไม่เข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้เลย