วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อที่ ๘.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ชอบใจที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของเรา

อย่าได้เชื่อเพียงว่า ชอบใจที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของเรา

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ ต้องมีสติปัญญาตีความหมายให้ชัดเจน เพราะตามปกติเราก็มีทิฏฐิ คือความเห็นอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ให้เราได้มาศึกษาทิฏฐิความเห็นของตัวเองว่า เห็นผิดหรือถูก เพราะตามปกติแล้ว คนเราจะมีความเห็นผิดเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว หากมีคนอื่นที่มีความเห็นผิดเหมือนกันกับเรา เรียกว่าเห็นผิดไปในทิศทางเดียวกับเรา เมือ่ได้เข้าไปสนทนาซึ่งกันและกันในเรื่องใดก็ตาม ความเห็นนั้นจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน การทำก็มีความคิดเห็นตรงกัน การพูดก็มีความเห็นตรงกัน ความเห็น ความเห็นในทุกเรื่องก็มีความเข้าใจที่เหมือนกัน ความผูกพันในหลักความเชื่อใจไว้ใจกัน เพราะตรงกับความเห็นของเรา สมมติว่ามีครูบาอาจารย์องค์นั้นท่านสอนสมาธิมาดี มีการสอนอยู่เสมอว่า ทำสมาธิไปเถอะ เมื่อจิตมีความสงบแล้วจะเกิดปัญญาขึ้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ก็จะไปละกิเลสตัวนั้นและละตัณหาตัวนี้ เมื่อเราได้รับการสอนมาอย่างนี้ และเราก็มีความเห็นเป็นอย่างนี้แล้ว ฉะนั้นการที่ได้ฟังครูบาอาจารย์อธิบายใรการทำสมาธิว่า เมื่อจิตสงบแล้วปัญญาจะเกิด ทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาว่าทิฏฐิความเห็นของอาจารย์ ก็ตรงกันกับความเห็นของเรา และเข้ากันได้อย่างสนิทแนบแน่น มีความเชื่อมั่นเคารพ นับถือ ในครูอาจารย์องค์นั้นอย่างฝังใจ สายทางปฏิบัติก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงเกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ใครจะมาพูดว่าทิฏฐิความเห็นอย่างนี้ผิดก็จะมีการต่อต้านเอาชีวิตเข้าประกันว่าถูกต้องแล้ว ถ้าทิฏฐิความเห็นนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดก็จะมาเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมตลอดไป

ในลักษณะการอบรมสั่งสอนในวิธีนี้จะมีสำนักน้อยใหญ่สอนกันในวิธีอย่างนี้ มีอยู่ถึง ๙๙.๙๙% ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศต่างพากันสอนวิธีทำสมาธิ ให้จิตมีความสงบแล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้น ตามความเข้าใจของผู้สอน การทำสมาธิให้จิตมีความสงบนั้นย่อมทำได้ เมื่อจิตมีความสงบแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขอให้ท่านสังเกตดูตัวเองบ้างว่า ปัญญาเราได้เกิดขึ้นหรือยัง ถ้าท่านได้ศึกษาในประวัติของพระอริยเจ้า ในยุคสมัยครั้งพุทธกาลท่านจะเข้าใจได้ทันทีว่า ในบั้นปลายพระพุทธศาสนา จะเกิดปัญหาในทิฏฐิความเห็น เป็นดังที่ได้อธิบายมานี้พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อให้กุลบุตรลูกหลานที่เกิดมา ในบั้นปลายพระพุทธศาสนา ได้คิดพิจารณาในเหตุผลดูบ้าง ในบางท่านอาจจะมีสติปัญญาและเหตุผล ก็จะมีอุบายวิธีที่เปลี่ยนทิฏฐิในความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ให้เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมได้ และจะเปลี่ยนนิสัยในทางความเชื่อในทางที่ผิด ให้เกิดเป็นความเชื่อในทางที่ถูกได้ ในยุคนี้ถือว่าเรามีความโชคดี ที่มีพระพุทธศาสนา เป็นสรณะที่พึ่งทางใจ ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกหมวดหมู่ และทุกขั้นตอนล้วนแต่เป็นคำสอนที่เป็นจริง มีบทอ้างอิงพร้อมด้วยเหตุผลที่เชื่อถือได้
สิ่งใดผิดพระองค์ก็ตรัสไว้ว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งใดถูกพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่าสิ่งนั้นถูก จะเป็นฝ่ายโลกียธรรมหรือฝ่ายโลกุตรธรรม ทุกคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ข้อสำคัญจะเป็นที่พวกเรา เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า นำมาตีความหมายผิดไปเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้า เกิดความมัวหมอง และไม่ถูกต้องตามหลักเดิมที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้

พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณรู้แล้วว่า เมื่อบั้นปลายพระพุทธศาสนา จะมีผู้ตีความในคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป คำสอนของพระองค์จะแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าแล้วเอาคำสอนหมวดนั้นไปศึกษา เมื่อหนังสือมีหลายหมวดก็ยิ่งแตกต่างกันออกไปหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีความเห็นตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง เมื่อศึกษาในหมวดธรรมต่างๆ ก็จะเกิดทิฏฐิ มีความเห็นไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับกับเป็นกลุ่มเป็นสาย ถ้ากลุ่มนั้นสายนั้นมีความเข้าใจในธรรมเหมือนกัน การปฏิบัติก็ไปในทิศทางเดียวกันร่วมกันได้ ชาวพุทธที่มีอยู่ในโลกนี้หลายประเทศ แต่ละประเทศ แยกกันออกมีหลายนิกาย เฉพาะประเทศไทยเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่แล้ว และแยกออกเป็นหลุ่มย่อยที่เรียกว่า สายนั้นสายนี้มีจำนวนมากเลยทีเดียว ใครชอบใจในทิฏฐิ ความเห็นสายใดก็เข้าไปปฏิบัติตามสายนั้น ในบางกลุ่มบางสายก็ใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงว่ากลุ่มเราสายเรา มีการภาวนาปฏิบัติถูกต้องเพียงสายเดียว กล่าวคำชั่วร้ายถากถางไปว่า กลุ่มอื่นสายตาอื่นปฏิบัติผิด หรือโฆษณาประกาศให้คนในกลุ่มอื่นสายอื่น มีความเชื่อถือแล้วคล้อยตาม ทางการเมืองเขาพูดกันว่าดูด ส.ส.กัน ทางชางพุทธจะว่าดูดศรัทธา ในลักษณะนี้จะว่ามีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ หลายคนพอจะเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ ในยุคสมัยนี้เป็นอย่างนี้อีกร้อยกว่าปีขึ้นไป ชาวพุทธจะแยกเป็นกลุ่มเป็นสาย เพิ่มขึ้นอีกไม่รู้ว่าจะมีมากน้อยเท่าไร ใครชอบใจทิฏฐิ ความเห็นในกลุ่มใดสายใด ก็ต้องไปเกาะกลุ่มรวมกันอยู่สายนั้น

นักปราชญ์ท่านมีการเปรียบเอาไว้ว่า เรื่องของตาบอดคลำช้าง ใครคลำถูกจุดไหน ก็จะพูดว่าช้างเป็นตัวอย่างนั้นไป ความเข้าใจในทิฏฐิคือความเห็นไม่ตรงกัน จึงมีความขัดแย้งกันในความเห็น ใครก็ว่าตัวถูก หาอุบายวิธีเพื่อที่จะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายหนึ่งมาเชื่อในความเห็นของตัวเอง เมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็ไปถกเถียงกันอยู่ใต้ร่มมะกอกที่มีผลสุกงอม ขณะนั้นมีมะกอกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกหัวคนตาบอดคนหนึ่ง อะไรเกิดขึ้นให้เราคิดดูก็แล้วกัน ถึงจะมีคนตาดีที่รู้จักช้างทั้งตัวเป็นอย่างไร จะไปทำความเข้าใจอธิบายเรื่องช้างให้ฟัง คนตาบอดเหล่านั้นจะเชื่อตามคนตาดีหรือไม่ จึงยากมากที่จะให้กลุ่มคนตาบอดนั้นกลับใจได้ นี้ฉันได้ ชาวพุทธทั้งหลาย ในุยคนี้สมัยนี้ ให้เราได้พิจารณาดูในเหตุการณ์อย่างนี้ก็แล้วกัน

ฉะนั้นชาวพุทธทั้งหลาย จงมาศึกษากันในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจให้เป็นไปในธรรมาธิปไตยเอาความจริงในสัจธรรมเป็นหลัก ใช้เหตุผลมาเป็นเครื่องตัดสินชี้ขาดยอมรับในความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีความชัดเจนอยู่แล้ว พระองค์ตรัสว่าสิ่งนั้นผิดก็ต้องผิด พระองค์ตรัสว่าถูกต้องก็ต้องถูก ถ้าเราเอาอัตตาธิปไตยเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมในคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อไร ความเห็นของเราก็จะมีการเปลี่ยนไปในทันที จะตีความหมายในคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เข้ากันกับความเห็นของตัวเองไปนี้คือจุดเสื่อมของพระพุทธศาสนา อนาคตต่อไปภายภาคหน้า กุลบุตรลูกหลานที่เกิดมาในสุดท้ายภายหลังได้อ่านหนังสืออย่างนี้ ก็จะมีความเห็นผิดเข้าใจผิดติดต่อกันไป ไม่มีผลดีกับคนในยุคนั้นเลย ฉะนั้นขอให้ชาวพุทธในยุคนี้ ได้วางพื้นฐานในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง เพื่อรองรับลูกหลานที่จะเกิดมาในวันข้างหน้าให้เขาได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อรองรับลูกหลานที่จะเกิดมาในวันข้างหน้าให้เขาได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ในคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไป จนถึงยุคกาลสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่าหลังจากพระพุทธองคืได้อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว ต่อไปอีก ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นจากโลกนี้