วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอ

ใช้ปัญญาอบรมจิตอยู่เสมอการปฏิบัติธรรม มีอุบายการปฏิบัติอยู่สองประการข้อหนึ่งปฏิบัติเพียงเป็นพิธี ข้อสองปฏิบัติเพื่อถอนรากถอนโคนของกิเลสตัณหาส่วนมากนักปฏิบัติเพื่อถอนรากถอนโคนของกิเลสตัณหานั้นมีน้อยนัก แต่เราผู้หนึ่งที่จะตั้งใจในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมจะต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะใช้สติปัญญาบากบั่นตัดกระแสของกิเลส ตัณหา อวิชชาให้หมดไปจากใจถึง ชีวิตจะหมดไปเพราะการปฏิบัตินั้น ก็ยอมเสียสละเพราะกาลเวลาผ่านมายาวนานจนถึงปัจจุบัน ใจเราได้ลอยตามกระแสของกิเลสมาตลอด ถ้าจะปล่อยให้ใจลอยไปตามกระแสของกิเลสตัณหาอยู่อย่างนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ ก็จะมีแต่ความทุกข์ตลอดไปเพราะกิเลสยังผลักดันใจให้ทำความชั่วอยู่เสมอ ความหลงใหลในกามคุณก็มีอยู่เต็มใจแทบจะไม่ได้พักผ่อนหลับนอนไม่ถอนตัวเองออกจากหล่มลึกคือกิเลสตัณหานี้เลย ความเคยชินก็จะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปนี้ก็เพราะจิตขาดการอบรมสั่งสอนด้วยปัญญา จึงไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ มีแต่ความสนุกสนาน คิดอยู่ในกระแสของโลกจนไม่มีความอิ่มพอเหมือนกับความเพลิดเพลินเล่นในแม่น้ำโดยขาดความสังเกต ไม่มีความสำนึกว่าภัยจะมีอยู่ในแม่น้ำนั้นมีแต่ความสนุกติดพันกันจนแยกตัวไม่ได้เมื่อภัยคือจระเข้ลอยเข้ามาใกล้ตัวเองแล้ว ก็จะหาช่องหลบตัวจากภัยนั้นไม่ทันถึงจะกลัวต่อภัยขนาดไหนก็ไม่สามารถหลบตัวหนีไปได้ จึงกลายเป็นอาหารของจระเข้ไปอย่างน่าเสียดายนี้ฉันใด ใจที่มีความเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณ หมกมุ่นอยู่กับความใคร่ ไม่คิดว่าภัยคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมาถึงตน มีแต่ความมืดมนลอยตามกระแสของโลกจนลืมตัว เมื่อภัยคือความแก่ ภัยคือความเจ็บไข้ได้ป่วยคืบคลานเข้ามาถึงตัว จะคว้าหาเอาความดีให้เกิดมีในใจไม่ทันจะหันตัวเข้ามาปฏิบัติภาวนา เวลาก็ไม่อำนวยมีแต่ความกังวลอยู่กับความเจ็บป่วยไม่สบายตลอดทั้งวันเดี๋ยวก็เจ็บที่นั้น เดี๋ยวก็ปวดที่นี้ สติก็ไม่ค่อยมีอยู่กับตนกับตัว มิหนำซ้ำยังไปมั่วอยู่กับลูกหลาน ไปพัวพันอยู่กับวัตถุสมบัติจะมีกำลังใจฝึกหัดภาวนาปฏิบัติไม่ได้เลยในช่วงนี้เองรู้ว่า ความแก่ ความเจ็บป่วยไข้เป็นภัยขนาดไหน ใครที่เกิดขึ้นมาแล้ว จะต้องได้ประสบพบเห็นเรื่องความทุกข์อย่างนี้เหมือนกันทุกคน ในที่สุดก็ตายไปเสียในช่วงที่มีชีวิตอยู่มีแต่ความประมาทมัวเมาเมื่อชีวิตได้หมดไปแล้วจะเอาสมบัติอะไรติดตัวไปไม่ได้เลย ฉะนั้นเราต้องใช้ปัญญาพิจารณาทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่เสมอ เพราะทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของของใคร ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครองก็ตาม หรือสิ่งนั้นจะมีราคาแพงสักปานใดก็ตาม จะหาบหามติดตามตัวเองไปไม่ได้เลย เพราะสิ่งนั้นเป็นวัตถุสมบัติของโลก และก็จะตกอยู่กับโลกนี้ตลอดไปใครที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะหามาใช้เพื่อได้รับความสะดวกประจำวันต่อไป เราเป็นนักปฏิบัติของใช้ปัญญาพิจารณาดูความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์นี้ให้ชัดเจนให้รู้สภาพความเป็นจริงของโลกนี้ให้ทั่วถึงว่าสมบัติอะไรบ้างที่เราจะมาแย่งชิงเอากับหมู่มนุษย์ด้วยกัน นี้ก็ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่บ่อย ๆ นานเข้าก็จะค่อย ๆ รู้จักความพอดีของตัวเอง นี้ก็เป็นอีกอุบายหนึ่งที่จะทำให้ความโลภภายในใจได้เบาบางลง ฉะนั้นการละความโลภต้องละด้วยอุบายปัญญา มิใช่ว่าจะไปนั่งหลับตาทำสมาธิให้ความโลภหมดไปจากใจ แต่อย่างใด