วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

งานสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ครั้งที่ ๑๓
ณ.พระมหาธาตุเจดีย์เฉลิมพระบารมีพระนวมินทร์ วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ รวม ๗ วัน ๗ คืน

วันจันทร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๕.๐๐ น. พิธีบวชชีพราหมณ์
๑๖.๐๐ น. พิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ
๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็น (ทุกวัน)
๑๘.๓๐ น. ฟังพระธรรมเทศนา

วันอังคารที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๕.๐๐ น. ธรรมรับอรุณ ณ พระมหาเจดีย์ (ทุกวัน)
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๘.๓๐ น. ฟังพระธรรมเทศนา

วันพุธที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๘.๓๐ น. ฟังพระธรรมเทศนา

วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๐.๐๐ น. เวทีธรรมะจากเยาวชน
๑๘.๓๐ น.ฟังพระธรรมเทศนา

วันศุกร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๐.๐๐ น. งานอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น / เวทีธรรมะจากเยาวชน
๑๘.๓๐ น. ฟังพระธรรมเทศนา

วันเสาร์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๖.๐๐ น. เจริญพุทธมนต์ฉลองพระพุทธลีลา
ทักษิณานุปทาน ถวายหลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ
๑๘.๓๐ น. ฟังพระธรรมเทศนา

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ วันมาฆบูชา
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๑๔.๐๐ น. พิธีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ
๑๙.๓๐ น. พิธีเวียนเทียนรอบลานพระมหาธาตุเจดีย์
พิธีสดุดีในหลวงและพระราชินี
๒๐.๓๐ น. จุดพลุ โคมไฟ บูชาพระบรมสารีริกธาตุ
และถวายพระพรในหลวงและพระราชินี
๒๑.๐๐ น. ฟังพระธรรมเทศนาตลอดคืน

วันจันทร์ที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
๐๗.๐๐ น. บิณฑบาต / ฉันภัตตาหาร
๐๙.๓๐ น. คณะชีพราหมณ์ ลาสิกขา เสร็จพิธี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
วัดป่าบ้านค้อ โทร./โทรสาร (๐๔๒) ๒๕๐๗๓๐-๒ , (๐๘๗) ๒๒๖๖๒๕๙ , (๐๘๗) ๙๗๘๗๔๔๕
ประสงค์ตั้งโรงทาน โทร. (๐๘๑) ๘๐๔๘๕๔๔

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แนวทางปฎิบัติภาวนา.....โดยหลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ

แนวทางปฏิบัติ..ภาวนา

คำปรารภ
...หนังสือแนวทางปฏิบัตินี้ เป็นเล่มแรกที่ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้น ในปี ๒๕๒๕ ณ วัดป่าหนองสองห้อง ต. ค่ายบกหวาน อ. เมือง จ. หนองคาย มีคณะศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิมพ์เป็นธรรทานไปแล้วหลายครั้ง หนังสือนี้ผู้เขียนได้รวบรวมโดยย่นย่อ เป็นอุบายวิธีแนวทางปฏิบัติเพียงสั้นๆ ก็เพื่อให้นักปฏิบัติเข้าใจได้ง่าย มีอุบายวิธีการทำสมาธิและอุบายการพิจารณาด้วยปัญญา เพื่อวางพื้นฐานของวิปัสสนาไว้ในขั้นต้น วิปัสสนานั้นถ้าหากไม่ปูพื้นฐานการพิจารณาด้วยปัญญาไว้ วิปัสสนาก็ไม่มีช่องทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหมือนกันกับผู้ที่ท่านมีความรู้ เรียนจบปริญญา ด็อกเตอร์ ไปแล้ว ท่านผู้นั้นก็ต้องได้ผ่านความรู้ในขั้นต้นคือ ก. ข. มาแล้วฉันใด ผู้ที่ท่านปฏิบัติรู้เห็นในสภาวธรรม และสัจธรรมตามความเป็นจริง ท่านเหล่านั้นก็ต้องได้ผ่านปัญญาในขั้นพื้นฐานนี้ไปฉันนั้น ฉะนั้นขอให้นักปฏิบัติจงได้วางพื้นฐาน สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ไว้ ให้มีความเห็นชอบ และดำริใคร่ครวญตรึกตรองตามเหตุและปัจจัยในสัจธรรมนั้นตามความเป็นจริง เพื่อให้จิตได้รู้ยิ่ง เห็นจริงตามสภาวะธรรม
....พร้อมนี้ จึงขอขอบใจในศิษยานุศิษย์ที่ได้จัดพิมพ์หนังสือแนวทางปฏิบัติเล่มนี้ขึ้นโดยความบริสุทธิ์ใจ และขออนุโมทนาในเจตนาที่เป็นธรรมนี้ ขอให้ทุกท่านจงประสบความสำเร็จในผลของการปฏิบัติธรรมนี้โดยฉับพลันเทอญ.

...
หัวข้อ
-หลักภาวนา ๒ อย่าง

-วิธีกำหนดคำบริกรรมและประสานลมหายใจ
-อุบายดูกายรู้กายในสมถะ
-อุบายวิธีจับหลักภาวนาเบื้องต้น
-ปัญญาประสานกายประสานใจ
-วิธีกำหนดรู้ใจและอารมณ์ของใจ
-การพิจารณากายและอารมณ์ของใจ
-ปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์
-การดำเนินตามมรรควิธี

หลักภาวนา ๒ อย่าง

....บัดนี้จะได้อธิบายตามหลักวิธีภาวนาทั้ง ๒ อย่าง คือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา หลักภาวนาทั้ง ๒ อย่างนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน มีจุดมุ่งหมายคือทำให้ใจมีความสงบเหมือนกัน ผิดแต่อุบายการทำเท่านั้น คำว่า สมถะ คือ อุบายยังใจให้สงบอยู่ในความปกติของใจ คือมีอุบายโน้มน้าวให้ใจเข้ามาพักผ่อนนั่นเอง ลักษณะให้ใจเข้ามาสู่ความสงบได้นั้น จึงขอแยกออกเป็น ๒ วิธี คือ
....๑. กำหนดคำบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งประกอบกับลมหายใจ มีสติกับผู้รู้ประสานลมหายใจกับคำบริกรรมเท่านั้น
....๒. ให้สติกับผู้รู้ กำหนดรู้กายส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นนิมิตเครื่องหมาย เพื่อไม่ให้ใจออกไปแส่ส่ายในอารมณ์ภายนอก
....ต่อไปนี้จะอธิบายหลักของสมถภาวนา ส่วนวิปัสสนาภาวนาจะได้อธิบายในตอนท้าย เริ่มต้นก่อนที่จะภาวนาทุกครั้ง ต้องชำระกายชำระใจให้สะอาด พร้อมทั้งสถานที่ที่เราจะนั่งภาวนา เพื่อเป็นอุบายตัดความกังวลที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง เพื่อจะได้ตั้งใจภาวนาให้สะดวกโดยไม่มีสิ่งใดขัดข้องภายในใจ อันเป็นเหตุให้เกิดความระแวงสงสัยในเรื่องส่วนตัว เราจะภาวนาเพื่อสำรวมใจให้อยู่เป็นปกติภายในใจ และไม่มีภาระใดๆส่วนภายนอกที่จะต้องทำ และไม่มีอารมณ์ใดๆภายในใจที่จะต้องคิดถึงในแง่ต่างๆ เพราะเราได้คิดมาแล้วหลายชั่วโมง บัดนี้เรามาภาวนาเพื่อไม่ให้จิตคิดไปตามอารมณ์ต่างๆ เพื่อให้ใจตั้งอยู่ในปัจจุบัน กายเราก็อยู่ที่นี่ ใจเราก็อยู่ที่นี่ และเรากำลังภาวนาอยู่ในขณะนี้

....แล้วไหว้พระ จะย่นย่อหรือพิสดารก็อยู่กับตัวเราเอง และทำใจไม่ให้มีเวรมีภัยต่อสรรพสัตว์ใดๆทั้งสิ้น เสร็จแล้วนั่งให้สบาย นั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย ประนมมือขึ้นจดระหว่างคิ้ว ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ให้มารวมอยู่ที่ใจ
....ให้ตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้า ยาว นึกว่า พุท กำหนดลมหายใจออกยาว นึกว่า โธ
....ให้ตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้ายาว นึกว่า ธัม กำหนดลมหายใจออกยาว นึกว่า โม
....ให้ตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้ายาว นึกว่า สัง กำหนดลมหายใจออกยาว นึกว่า โฆ
....จะว่า ๓ - ๗ ครั้ง หรือจะมากกว่านี้ ก็แล้วแต่ความถนัดใจ แล้วค่อยๆเอามือวางลงบนตัก เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งใจกำหนดเอาแต่พุทโธอย่างเดียวและหายใจก็หายใจตามปกติ ทำใจให้มีความร่าเริงและแผ่วเบา ไม่ให้ใจมีความกังวลกับสิ่งใดๆทั้งสิ้น


วิธีกำหนดคำบริกรรมประสานลมหายใจ

....วิธีกำหนดสติกับผู้รู้ประกอบคำบริกรรมเข้าประสานกับลมหายใจนี้ ขออธิบายสั้นๆ เพื่อให้ผู้อ่านนำไปปฏิบัติให้ง่ายขึ้น อันดับแรกให้ตั้งใจโดยมีสติว่า เราจะตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกันกับลมหายใจเข้า ว่า พุท เราจะตั้งใจกำหนดคำบริกรรมนี้ประสานกับลมหายใจออกว่า โธ แต่ลมหายใจของเรามีอยู่ ถึงเราไม่ตั้งใจดู มันก็หายใจออกหายใจเข้าอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นเราจึงมากำหนดเพียงให้เป็นอุบายของสติกับผู้รู้ และคำบริกรรมกับลมหายใจให้อยู่ในกรอบเดียวกันเท่านั้น นี้เป็นวิธีฝึกสติ เพื่อให้สติมีความเข้มแข็ง จึงให้ทำด้วยความตั้งใจ คือเราจะต้องตั้งใจอันมีสติหายใจเข้าเอง เราจะต้องตั้งใจอันมีสติหายใจออกเอง เวลาใดเราไม่ได้ตั้งใจ หายใจเข้าเอง ถือว่าสติเราตามไม่ทัน เวลาใดเราไม่ได้ตั้งใจหายใจออกเอง ก็ถือว่าเราขาดสติ ฉะนั้นจึงให้เรามีสติตั้งใจหายใจเข้าเอง มีสติตั้งใจหายใจออกเอง ถ้าชำนาญแล้วไม่ยาก ต่อไปก็รู้เท่าทันกันเอง นี่คือเหตุตั้งใจในขั้นต้น
......เมื่อเราชำนาญในลมกับคำบริกรรมแล้ว ก็ให้กำหนดรู้ลมว่า ลมหายใจหยาบหรือลมหายใจละเอียด ถ้าลมหายใจยังหยาบอยู่ก็ให้ดูลมไปก่อน ถ้าลมหายใจมีความละเอียดแล้ว สติเราก็ไม่เผลอ รู้เท่าทันลมได้ดี เราก็ปล่อยคำบริกรรมนั้นเสีย ให้มารู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่เฉพาะลมเท่านั้น เมื่อใจกับลมละเอียดแล้ว มันจะแสดงออกมาทางกาย มีลักษณะต่างๆ เช่น ปรากฏว่า มีกายใหญ่บางส่วน หรือใหญ่ทั้งหมดภายในกาย หรือเป็นกายเล็ก บางทีสูงขึ้น บางทีเตี้ยลง ถ้าเป็นลักษณะใดลักษณะหนึ่งเราอย่ากลัว นั่นเป็นอาการของใจ แสดงออกมาทางกาย ให้รีบตั้งสติกับผู้รู้ ให้รู้ลมละเอียดเข้าไปอีก เมื่อลมละเอียดเต็มที่แล้ว มันจะแสดงขึ้นมาอีกวิธีหนึ่งคือ ลมหายใจมันจะน้อยเข้าทุกที เล็กเข้าทุกที และระบบการหายใจจะหายใจสั้นเข้าทุกที ถ้าผู้กลัวตายก็จะถอนตัวทันที ถ้าเป็นเช่นนี้เราไม่ต้องกลัว นั่นแหละใจกำลังจะสงบ จะเห็นความอัศจรรย์ตัวเอง ให้รีบตั้งสติรู้อยู่เฉพาะลมหายใจเท่านั้น ลมหายใจน้อยก็รู้ ลมหายใจสั้นก็รู้ ลมหายใจเล็กเหมือนใยบัวก็รู้ ลมหายใจจะสั้นและอยู่ในลำคอเท่านั้น พอสุดท้ายลมหายใจก็จะหมดทันที เมื่อลมหมด ความสงบใจนั้นก็จะหมดภาระกับลมหายใจ มีแต่ความสงบของใจ เต็มไปด้วยความสว่างรอบตัว แต่ไม่ปรากฏเห็นกายตัวเองเลย มีแต่ความสว่างภายใน ใจสบายและมีความสุขเท่านั้น ความสุขที่ใจมีความสงบนั้น ไม่มีความสุขใดในโลกจะเสมอ เหมือนดังพุทธภาษิตว่า "สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบไม่มี" ความสงบสุขนี้เป็นอยู่ไม่นานก็จะถอนตัวออกมาหายใจธรรมดา ผลของความสงบนั้นยังปรากฏอยู่ ถ้าผู้ไม่มีรัศมีของปัญญาแฝงไว้ที่ใจ ก็อยากสงบอยู่อย่างนั้นต่อไปและติดใจในความสงบนั้นๆ ถ้าผู้มีรัศมีของปัญญามีเชื้อติดอยู่ที่ใจ ก็สามารถเริ่มพิจารณากายต่อไปได้ ไม่ติดกับความสุขนั้นๆเลย

อุบายดูกายรู้กายในสมถะ

.....วิธีทำสมถะเกี่ยวกับอุบายรู้กาย กายของเรามีอยู่เมื่อเราหลับตาดูทำไมไม่เห็น นี้ก็เพราะความไม่เคยชินไม่เคยฝึกหัดมาก่อน วิธีฝึกให้รู้กายนี้ต้องอาศัยการฝึกให้ถูกหลัก จึงจะเป็นอุบายให้รู้กายได้ง่ายขึ้น สมมุติว่าเรานั่งอยู่ในขณะนี้ มีวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร มีลักษณะอย่างไร ใกล้หรือไกล ใหญ่หรือเล็ก เมื่อเราลืมตาเพื่อดูให้ชัดเจนแล้ว เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่วัตถุนั้นให้ดี แล้วค่อยๆหลับตาลงเบาๆ ให้ความรู้ของใจจดจ่ออยู่ในวัตถุนั้นๆ ถึงเราจะหลับตาก็เพียงเอาเปลือกตาทั้งสองข้างลงมาปิดตาไว้เท่านั้น แต่ความรู้สึกในตานั้นให้เห็นในวัตถุนั้นอยู่ ถึงเราจะหลับตาก็สามารถเอามือคว้าจับเอาของนั้นได้ และจับถูกกับจุดนั้นทีเดียว นี้ฉันใด วิธีการฝึกให้ใจรู้กายก็ฉันนั้น
.......อุบายวิธีดูกายนี้เราจึงเลือกเอาส่วนหนึ่งส่วนใดของกายที่เราพอจะมองเห็นได้ง่าย เราเอาส่วนนั้นมาเป็นหลักวิธีฝึก จะเป็นตำหนิอะไรในกายของเรามาเป็นเครื่องหมายก็ได้ ให้เราใช้สัญญาความจำในตำหนิหรือในกายส่วนนั้นไว้ให้ดี ให้ใจจดจ่ออยู่อย่างนั้น ไม่ต้องให้ใจเคลื่อนที่ไปที่ไหนมาไหนได้ ให้เราเอาจุดนั้นๆเป็นจุดยืน ทำบ่อยๆ ความชำนาญในการเพ่งดูนั้นก็จะติดใจ ข้อควรระวัง อย่าไปเอาลมหายใจเข้าออกมายุ่งเกี่ยว หรือคำบริกรรมทั้งหมดเราพักไว้ก่อน ถึงลมหายใจจะมีเพียงผิวเผิน อย่าเอาใจจดจ่อกับลมนั้น ให้เอาใจจดจ่อในกายส่วนที่เราเพ่งอยู่นั้น สติเรายังไม่ดี อย่าพึ่งกำหนดรู้กายส่วนใหญ่ ให้กำหนดเป็นจุดเล็กเท่าหัวแม่มือก็ได้ ต่อไปสติเราดีมันจะขยายออกเอง เหมือนแสงไฟขยายความสว่างฉันนั้น ถ้าหากเรากำหนดรู้กายเห็นกายส่วนที่เราเพ่งดูอยู่นั้นเห็นชัดและรู้ชัดภายในใจอยู่อย่างนั้น กายส่วนที่เราเพ่งดูอยู่นั้น ก็จะขยายตัวกว้างออกไปทุกทีๆ ถ้ามันไม่ขยายออกไป เราก็ขยายออกไปโดยความรู้สึกทางใจ ถ้าขยายออกไปกว้างไม่เห็นชัด เราอย่าพึ่งขยายออก ให้ทำใจเพ่งดูอยู่ในลักษณะเดิม เราจะนั่งเพ่งดูหรือเดินกำหนดใจดูก็ได้ หรือจะยืนเพ่งดู นอนเพ่งดูก็ได้ แต่นอนเพ่งดูนั้นไม่ค่อยจะได้ผลเท่าใดนัก คือทำให้สติอ่อน ง่วง คอยแต่จะหลับ
.....ฉะนั้นจึงให้กำหนดเพ่งดูอยู่ในอิริยาบททั้งสาม คือ ยืน เดิน นั่ง ให้ทำไปเรื่อยๆ ทำครั้งแรกก็จะมีความอึดอัดใจอยู่บ้าง เป็นเพราะว่าเราไม่เคยชินในการทำ จะกำหนดเพ่งดูสักเท่าไร ก็จะเห็นอยู่แต่ความมืดมิดอยู่อย่างนั้น แต่เราก็พยายามกำหนดตั้งใจเพ่งดูบ้าง หรือลืมตาดูบ้าง เมื่อลืมตาดูก็จดจำลักษณะสัณฐานของกายส่วนนั้นไว้ให้ดี แล้วค่อยๆหลับตาลง แต่ความรู้นั้นกำหนดจดจ่ออยู่ที่กายส่วนนั้นๆอย่าให้เผลอ ให้เหมือนกันกับเราลืมตาดูเรื่องที่เรากำหนดจดจ่อ เพ่งกายไม่เห็นก็เพราะความรู้ของใจเรายังไม่พร้อม เมื่อความรู้ของใจพร้อมแล้ว ความรู้ของใจก็ค่อยๆรู้กันไปพอลางๆ แต่ถ้าทำบ่อยๆเข้า ความรู้ของใจก็จะรู้ขึ้นเอง ถ้าหากเราไม่ชำนาญในการเพ่งกายให้รู้ชัดเจนด้วยใจแล้ว
.....ท่านจะเลือกเอาความรู้ในทางปริยัติขั้นไหนมาพิจารณาก็ไม่ได้ผล เราจะพิจารณากายด้วยความรู้ที่ศึกษามา จะว่า อศุภะ อศุภัง ให้เปื่อยให้เน่า มันก็เปื่อยเน่าไม่ได้ จะพิจารณาความสกปรกโสโครกภายในกาย มันก็สกปรกโสโครกไปไม่ได้ จะแยกแยะกายส่วนต่างๆ ก็แยกแยะไปไม่ได้ นี่เพราะเหตุใด เพราะความรู้จริงเห็นจริงภายในใจไม่มี
....ดังคำโบราณว่า "ตีป่าให้เสือกลัว" นั้นเอง เหมือนเรารู้ข่าวความสกปรกทั้งหลายในเวลาปกติ โดยเราไม่รู้ไม่เห็นด้วยตนเอง ความรังเกียจก็จะไม่เกิดขึ้นกับใจเราได้เลย แต่ถ้าหากรู้เห็นด้วยตนเองแล้ว ความรังเกียจในสิ่งสกปรกนั้นย่อมแสดงออกมาทางใจ ขยะแขยงขึ้นที่ใจเราทันที นี้ฉันใด เมื่อเรากำหนดรู้เห็นในส่วนของกายในลักษณะต่างๆด้วยความเป็นจริงด้วยใจตนเองแล้ว ก็ย่อมทำให้ใจเราเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยึดถือในกายฉันนั้น คำว่ากายของเราก็จะจืดจางไป เพราะใจมาเห็นกายอันเป็นปกติแล้วนี้ฉันใด
..... การพิจารณาโดยเอาความรู้นอกๆมาพิจารณาก็พิจารณาไปได้เพราะได้ศึกษามาแล้ว แต่ความเบื่อหน่ายในกายมันจะปรากฎขึ้นในใจของท่านหรือไม่ ไม่มีทางเกิดความเบื่อหน่ายได้เลย เพราะใจเราไม่รู้อาการของกาย ไม่เห็นลักษณะของกาย ใจจะเบื่อหน่ายได้อย่างไรกันเล่า ฉะนั้นเราจึงมาเพ่งมากำหนดจดจ่อรู้เห็นอาการของกายด้วยใจเสียก่อน เราจึงมาพิจารณาด้วยปัญญาไปตามอาการของกายส่วนนั้นๆ และใจก็รู้เห็นๆพร้อมๆกัน พิจารณากายส่วนไหน ใจก็เห็นกายส่วนนั้นๆ ไม่ว่าส่วนนอกส่วนใน ใจก็เห็นไปตามปัญญาทุกส่วน ถ้าเห็นกายตัวเองด้วยใจจริงๆแล้ว ท่านจะกำหนดดูกายใครต่อใครก็ย่อมเห็นชัด เหมือนกับเราดูกายของตัวเองตลอดเวลา เมื่อใจเห็นชัดกายเรากายคนอื่นอยู่อย่างนี้ ราคะตัณหาก็เบาบางลง คือไม่กำเริบขึ้นที่ใจเรานั่นเอง เมื่อใจเห็นกายอยู่อย่างนี้ นี่แล ความสงบใจภายในกายจะเป็นเส้นทางต่อเนื่องกันกับวิปัสสนา คือปัญญาต่อไป

อุบายวิธีจับหลักภาวนาเบื้องต้น

....วิธีกำหนดอารมณ์ของใจ เพื่อจะได้ใช้ปัญญา พิจารณาตามให้ถูกหลักของใจ สมมุติว่าเรานั่งภาวนา เราจะเอาสมถะขึ้นก่อนหรือจะเอาปัญญาขึ้นก่อนนั้น เราก็ต้องเอาอารมณ์ของใจเป็นเส้นทางในการภาวนา ถ้าใจเราชอบสงบเราก็ต้องเอาสมถะ เราจะเอาปัญญาเข้าประกอบนั้นไม่เข้ากัน ถ้าเราชอบคิดโน่นคิดนี่ เราก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณา เราจะบังคับให้ใจสงบมันก็ไม่ได้ผล สมมุติว่า ถ้าท่านอยากจะพักผ่อน มีคนอื่นมาทำเสียงรบกวน มันก็ผิดหลักตามความเป็นจริงของใจ ถ้าท่านมีความต้องการทำการทำงาน สนุกสนานร่าเริงในการเล่น ถ้ามีผู้บังคับให้ท่านพักผ่อน ท่านก็จะไม่ยอมเช่นกัน
.....นี้ฉันใด อุบายที่จะจับหลักภาวนาเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของใจ ถ้าใจเราชอบสงบ เราก็เอาสมถะเดินก่อนเอาปัญญาเดินหลัง ถ้าใจเราชอบคิดโน่นคิดนี่เราก็ต้องเอาปัญญาไปก่อน แล้วจึงเอาสมถะตามหลัง ขอให้ท่านเข้าใจตามวิธีนี้เถิด วิธีทำสมถะยังใจให้สงบก็ได้เขียนผ่านมาแล้ว ว่าด้วยวิธีกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี้เป็นวิธีหนึ่ง ว่าด้วยวิธีกำหนดกาย เพ่งกาย ก็ได้เขียนผ่านมาแล้วเช่นกัน ขอให้ท่านเลือกเอา วิธีไหนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดใจของท่าน

ปัญญาประสานกายประสานใจ

....ต่อไปจะว่าด้วยวิธีใช้ปัญญาประสานกายประสานใจ เพื่อประกอบให้เป็นเรื่องปัญญาพิจารณาใจให้สัมพันธ์กันกับอารมณ์ของใจ เพื่อให้ใจรู้เห็นโทษของกาย โทษของอารมณ์ที่เกิดจากใจ เพราะใจต้องมีอารมณ์เป็นเครื่องอยู่ จะเป็นอารมณ์ประเภทไหนก็ตาม ก็เกิดขึ้นที่ใจ จะเป็นอารมณ์ชั่ว อารมณ์ดี อารมณ์แห่งความรัก อารมณ์แห่งความชัง ก็อยู่ที่ใจ อารมณ์แห่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็อยู่ที่ใจ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ก็อยู่ที่ใจ อารมณ์ประเภทไหนก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้นมาที่ใจแล้ว เราก็จับอารมณ์นั้นไว้ให้ดี เพื่อจะใช้ปัญญาเข้าประกอบกับอารมณ์ประเภทนั้นให้ถูกจุด และจะใช้ปัญญาชี้โทษของอารมณ์นั้นๆให้ใจฟัง ให้ใจรู้ ให้ใจเห็นโทษในอารมณ์ทุกครั้งไป เพราะอารมณ์ประเภทใดก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นที่ใจแล้ว ย่อมทำให้ใจเสียหลักทุกครั้งไป
.....เพราะใจเหมือนกับโรงหนัง เขาจะเอาหนังเรื่องต่างๆฉายให้ใจดู ขึ้นอยู่กับกิเลสตัณหาผู้จัดหามา จะเป็นเรื่องไหนก็ตาม ใจย่อมหันเหเซซวนตามเรื่องนั้นทุกครั้งไป เป็นอันว่า อารมณ์ประเภทไหนก็ตาม เมื่อเกิดขึ้นที่ใจแล้วเป็นอันว่าไม่เสียผล มีทั้งเรื่องตลกคะนองตื่นเต้น มีทั้งเรื่องโศกเศร้าเหงาหงอย มีทั้งเรื่องฆ่าฟันห้ำหั่นกันด้วยอาวุธต่างๆ มีทั้งเรื่องแข่งดีแข่งเด่นเอารัดเอาเปรียบกัน สารพัดเรื่อง ที่กิเลสตัณหาเอามาแสดงให้ดู จะให้ใจอยู่เฉยๆแทบไม่มี เดี๋ยวเรื่องนี้จบไป เรื่องใหม่ก็หมุนเวียนกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ใจอยู่กับอารมณ์ทั้งหมดนี้ไม่มีความเบื่อหน่าย หมุนไปเวียนมาจนไม่รู้ว่าอารมณ์เก่าหรือใหม่ คลุกเคล้าอยู่ในใจทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าอารมณ์อดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้าพัวพันสลับซับซ้อนไม่รู้ต้นหรือปลาย ใจที่อวิชชาห่อหุ้มไว้แล้วนี้เอง จึงไม่รู้อารมณ์ที่เป็นทุกข์ อารมณ์เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้วิธีการดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติแห่งความดับทุกข์ นี่แหละจึงชื่อว่าใจหลง คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจนั้นเอง
....อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจนั้นจึงทำให้เกิดความพะวักพะวงดิ้นรนตามอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจนี้ เพราะใจไม่เห็นโทษแห่งอารมณ์ของใจเอง และยินดีตามความเคยชินในอารมณ์นั้นๆ ความเคยชินในอารมณ์นี้เองจึงทำให้ใจเผลอ เพราะไม่มีสิ่งใด มากระตุ้นเตือน ว่ากล่าวสั่งสอน ชี้โทษให้ใจฟัง จึงไม่รู้จักหาหนทางที่จะแก้ไขตัวเอง จึงว่าใจมีความโง่เง่าเต่าตุ่นหมุนไปตามความอยากของใจโดยลำพังตั้งตัวไม่ติด คิดไปตามลำพังความโง่ของใจ อารมณ์ประเภทไหนเกิดขึ้นก็วิ่งตามโดยหมดความสังเกต จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ประสบอารมณ์ที่ล้มเหลวเลวทราม ก็เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงของอารมณ์ที่เกิดขึ้น นี้แหละจึงว่ากิเลสจูงใจให้เป็นไปต่างๆตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ เราจะซักฟอกใจ ทำความสะอาดให้ใจ ก็มาซักฟอกความคิดเห็นของใจ ให้ใจได้กลับแนวความคิดเสียใหม่ ให้ใจมีความฉลาดเฉียบแหลม รู้เหตุรู้ผลต้นปลายเพราะอาศัยปัญญาเข้ามาฝึกฝนอบรมให้ใจรู้ตามอารมณ์ของใจ
.......เพราะอารมณ์ของใจมีที่เกิดขึ้นหลายทาง เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมเกิดอารมณ์ขึ้นที่ใจ เรียกว่า ธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์นี้เองทำให้ใจลุ่มหลงตามอารมณ์ของอายตนะ ฉะนั้น เมื่ออารมณ์ของอายตนะอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เราตั้งข้อสังเกตดูอารมณ์นั้นว่าเกิดมาจากอายตนะอะไร เราจึงกำหนดรู้อารมณ์ประเภทนี้ไว้ก่อน เพื่อเราจะได้สั่งสอนใจให้รู้จักอารมณ์นั้นๆ มีโทษร้ายแรงมากน้อยเพียงใด เพื่อใจจะไม่ลุ่มหลงในอารมณ์นั้นๆต่อไป อารมณ์ของอายตนะที่เกิดขึ้นกับใจนี้เอง จึงทำให้นักภาวนาเสียหลักมาแล้วเป็นจำนวนมากทีเดียว ก็เพราะไม่รู้จักวิธีที่จะเข้าแก้ไขนั่นเอง เหมือนกับขุยไม้ไผ่ที่เกิดขึ้นกับต้นไผ่ แล้วทำให้ต้นไผ่ตายไปเพราะขุยไม้ไผ่นั้น นี้ฉันใด นักภาวนาก็มาตายกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจของนักภาวนาเองฉันนั้น
.....อารมณ์ของใจที่เกิดขึ้นนี้ ผู้ไม่ฉลาดหาวิธีแก้ไขแล้ว จะไม่หายไปจากใจได้เลย ท่านจะเอาสมถะเป็นจุดยืนฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะสมถะเป็นเพียงทำใจให้สงบเท่านั้น เราจะเอามาละกิเลสส่วนนี้ไม่ได้ ถึงสมถะจะสงบลงสู่ความละเอียดถึงฌานสมาบัติ จะเป็นรูปฌาน อรูปฌาน ก็ตามเถิด ก็เพียงเอาเข้าไปข่มไว้เป็นวันๆเท่านั้นเอง เหมือนกับศิลาทับหญ้า ประกบกันไปเป็นครั้งคราว แต่อย่าลืมคิดว่า แม้แต่รากไม้เล็กๆยังสามารถสอดแทรกเข้าในช่องหินได้ เมื่อมีจังหวะ รากไม้ก็ผลักดันให้ก้อนหินพังทลายลงไปได้
.....ใจที่เราเอาสมถะเข้าไปประกบอารมณ์ไว้ก็เช่นกัน วันใดวันหนึ่งเมื่อเราเผลอตัว อารมณ์ประเภทนั้นก็จะระเบิดขึ้นที่ใจทันที จะหาชิ้นดีที่ใจไม่ได้เลย เป็นหัวใจที่หมดคุณค่าราคา เน่าเฟะอยู่ตลอดวันคืน จะหาจุดยืนให้ใจมิได้ คอยแต่จะล้มละลาย ผลสุดท้ายก็หาวิธีวางบาตรจีวร ออกตัวแบบหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสในลักษณะสมบัติผู้ดีว่า อาตมาหมดบุญบวชเสียแล้ว ขอตัวเถอะ ถ้าขืนอยู่ไปก็กลัวจะเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตัวเอง ถ้าเป็นไปในรูปนี้ก็ให้โยมได้เตรียมที่นอนหมอนเสื่อปูต้อนรับได้แล้ว จะปูที่ไหนให้เหมาะสมก็ปูได้เลย จะเป็นข้างนอกข้างในหรือที่ใดๆก็ตาม แล้วแต่จะจัดการ ไม่นานก็จะได้หามคนหมดบุญบวชในสมณเพศ ออกไปหาบุญทางเพศฆราวาส บางทีออกไปเป็นฆราวาสอาจจะได้บุญพอที่จะเข้ามาสู่ผ้ากาสาวพัสตร์อีก
.....นี้เป็นเหตุการณ์ที่ผู้เขียนได้ประสบมา จึงนำมาเขียนเพื่อกั้นทางตัวเองไปในตัว เพื่อจะได้สำนึกในการเขียนของตน เพื่อจะได้มีความละอายต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อย เพื่อจะได้รักษาตัวไม่มัวเอาแต่สมถะฝ่ายเดียว เพื่อจะได้เฉลียวฉลาดเอาปัญญามาใช้ เพื่อให้ใจมีความเฉียบแหลมคมคาย มีอุบายแก้ไขอารมณ์ที่เกิดกับใจตัวเอง ความเฉียบแหลมนี้เอง จึงเป็นเส้นทางให้นักภาวนาได้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ ดังมีคำว่า "รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง" นั้นเอง นี้ก็ต้องอาศัยอุบายความเฉียบแหลมของใจ เข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้ใจตื่นตัว ไม่มั่วสุมอยู่กับอารมณ์ที่เกิดจากอารมณ์ทางอายตนะ ปลายเข็มที่นำทางให้ตัวเข็มและด้ายไปประสานอยู่ในเนื้อผ้าได้ฉันใด ปัญญาที่มีความเฉียบแหลมย่อมนำใจให้มีความฉลาดสามารถรอบรู้รู้รอบในอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในใจอย่างแม่นยำฉันนั้น
....ถ้าไม่มีความเฉียบแหลมภายในใจแล้ว ถึงเราจะภาวนาด้วยปัญญาก็ไม่ค่อยจะได้ผล เดี๋ยวข้ามหน้าผวาหลังตั้งหลักของปัญญาไม่ได้ เดี๋ยวกิเลสสวนไป ปัญญาสวนมาไม่มีเวลาที่จะเผชิญหน้ากัน ไม่มีที่จะประจันบานห้ำหั่นกันซึ่งๆหน้าสักที เห็นแต่รอยขี้ของกิเลสตามสายทางเพื่อฝากเป็นของขวัญ เช่น ขี้เกียจ ขี้คร้าน ขี้โกรธ ขี้หลง กินมากนอนมาก ล้วนแต่เป็นขี้ของกิเลสทั้งนั้น ถึงจะพบกันก็เมื่อปัญญาพลั้งเผลอไม่มีสติ กิเลสจึงได้ขี้ทับหัวใจเหม็นคลุ้งอยู่ตลอดเวลา เพราะปัญญาไม่มีความเฉียบแหลมนั่นเอง จะเข้าตำราที่ว่า "น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง" หรือเป็นแบบวิธี ตีป่าให้เสือกลัว นั่นเอง

.....นี้เป็นปัญญาพิจารณาแบบเพ่นพ่านไม่มีจุด กิเลสจะไปกลัวทำไมเล่า ถ้าเป็นปัญญาที่เกิดจากความเฉียบแหลมของใจเองแล้ว กิเลสยืดตัวไม่ขึ้น และหาช่องทางเข้ามาหาใจได้ยาก เพราะกิเลสมันชอบอยู่ในที่มืด ถ้าใจมืดเวลาใด กิเลสก็แสดงตัวทันที ถ้ามีปัญญาให้ความสว่างแก่ใจ ความรอบรู้รู้รอบของใจมีอยู่ จึงสมดังพุทธภาษิตว่า "นตฺถิ ปญฺญา สมาอาภา" ก็คือ ความสว่างอย่างนี้นี่เอง ปัญญาก็เป็นปัญญาของตัวเอง คำว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็เพราะตนมีอาวุธประจำตัว ก็คือตัวปัญญาเราเอง ปัญญาเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์ ความฉลาดเฉียบแหลมสำหรับผู้จะพ้นไป
........กระจกไม่มีประโยชน์แก่คนตาบอดฉันใด ความรู้ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ไร้ปัญญาฉันนั้น ปัญญาไม่มีแก่ผู้สิ้นความคิด ความพินิจไม่มีแก่ผู้ขาดความเฉียบแหลม เหตุนั้นจึงว่า ปัญญามากปัญญาดี คำว่าปัญญามากก็พอจะเข้าใจ ส่วนปัญญาดี จะมากก็ดีจะน้อยก็ดี ข้อสำคัญคือความเฉียบแหลมเป็นหลัก นักภาวนาจะสำนึกและสร้างความเฉียบแหลมให้เกิดขึ้นที่ใจให้ได้ วิจกฺขณฺตา คือความเฉียบแหลมนี้เอง จะเป็นเหตุให้รู้เท่าอารมณ์ของอายตนะได้ทุกขณะ ถ้าขาดความเฉียบแหลมแล้ว ใจอาจจะเผลอตัวได้ง่าย อารมณ์ของใจที่มีอยู่ก็ไม่รู้วิธีการแก้ไข จึงปล่อยให้กิเลสตัณหาฉุดลากไปตามอารมณ์ที่ชอบ
......สมมุติเอาอารมณ์ของอดีตที่ผ่านมาพาให้เกิดอารมณ์ของอนาคตมาบดขยี้หัวใจตัวเองในปัจจุบัน ใจจะหันเหเซซวนไปตามอารมณ์ต่างๆไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ เช่น ตาสัมผัสรูป เกิดอารมณ์ขึ้นที่ใจ ไปวาดมโนภาพเอารูปที่ผ่านมา หรือรูปในปัจจุบันมาไว้ที่ใจ สมมุติรูปนั้นไปในลักษณะต่างๆ ยิ่งสมมุติเท่าไรใจก็ยิ่งติด ใจยิ่งติดสมมุติ กิเลสก็ขยายตัว สังขารก็เริ่มทำงานทันที สังขารจะปรุงแต่งในแง่ต่างๆก็อาศัยสมมุติเป็นแกนนำ ถ้าสมมุติไม่มีที่ใจ จะให้สังขารปรุงแต่งทำงานได้อย่างไร เพราะสังขารเพียงเสริมให้สมมุติขยายออกไปกว้างเพื่อลวงใจให้ติด แมงมุมสร้างข่ายขึ้นแล้วติดอยู่ที่ข่ายที่สร้างไว้แล้วฉันใด ใจย่อมติดอยู่ในสมมุติและสังขารฉันนั้น ถ้าสมมุติตั้งขึ้นแล้ว สังขารไม่เข้าไปปรุงแต่ง สมมุติก็จะค่อยๆอ่อนไปเอง สังขารตั้งขึ้นแล้ว แต่ไม่มีสมมุติให้ปรุง สังขารก็จะหดตัวทันที ถ้าสมมุติและสังขารบรรจบกันเมื่อไร ก็เมื่อนั้นแหละใจจะกำเริบพลอยยินดี พอใจไปตามอารมณ์ของสมมุติและสังขาร นี้แลจึงว่า อวิชชาโมหะเกิดขึ้นที่ใจ มีอยู่ที่ใจ ใจหลงโลกหลงสังขารก็มาหลงตัวนี้ ใจหมุนไปตามวัฏฏะ ถือเอาภพน้อยภพใหญ่ก็มาหลงอารมณ์สมมุติสังขารอย่างนี้ ใจมีความรักใคร่พอใจในกามคุณ ก็เพราะอารมณ์อย่างนี้ ความโศกเศร้าโสกาน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ก็เพราะอารมณ์อย่างนี้ ความคับใจแค้นใจพิไรรำพัน เสียใจ น้อยใจ ภัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับใจ ก็เพราะใจมาหลงสมมุติสังขารนี้เอง ดังภาษิตว่า "ปิยรูปํ สาตรูปํ ตัณหาเกิดขึ้นในสิ่งที่รักใคร่พอใจ และตั้งอยู่ในสิ่งที่รักใคร่พอใจ เปมโต ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากความรัก รติยา ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากความยินดี กามโต ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากกามคุณ ตณฺหาย ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากตัณหา ปิยโต ชายเต โสโก ความโศกเกิดขึ้นจากความรัก ปิยโต ชายเต ภยํ ภันเกิดขึ้นจากความรัก ปิยโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กุโต ภยํ ผู้พ้นจากความรักได้แล้ว ย่อมไม่มีโศก ภัยจะมีมาจากที่ไหน" มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำฉันใด ใจก็ไม่อิ่มในอารมณ์ของใจฉันนั้น เพราะความอยากในอารมณ์ภายในใจหาที่สุดมิได้ ใจมีความกำเริบเห่อเหิมในอารมณ์ใดๆ พึงมีอุบายห้ามใจในอารมณ์นั้นๆ ชนผู้ตื่นแล้วย่อมไม่มองเห็นอารมณ์อันประจวบด้วยความฝันฉันใด ใจอันมีความเฉียบแหลมมีสติปัญญารู้ตัวอยู่ ย่อมไม่มองเห็นอารมณ์ที่ใจรักอันล่วงไปแล้วฉันนั้น มดที่ติดอยู่กับน้ำผึ้งฉันใด ใจที่ติดอยู่กับอารมณ์ก็ฉันนั้น

วิธีกำหนดรู้ใจและอารมณ์ของใจ

....นักภาวนา จึงควรมาทำความเข้าใจ ในวิธีที่จะรู้อารมณ์ของใจและวิธีรู้ใจ วิธีนี้เป็นวิธีที่ละเอียดอ่อน นักภาวนาผู้ไม่เคยชินอาจจะไม่เข้าใจ จึงขอให้ท่านพยายามทำติดต่อกันไปเรื่อยๆเพื่อความชำนาญและคล่องตัว และขอให้ตั้งใจทำจริงๆ ความจริงจะหนีความจริงไปไม่ได้ และเวลาใดเวลาหนึ่งความจริงก็จะปรากฏขึ้นมา ก่อนที่เราจะภาวนาทุกครั้ง จงมีสติตั้งใจคอยสังเกตอารมณ์ของใจไว้อย่างใกล้ชิด ทำใจให้มีความแผ่วเบา เหมือนกับเราทำสมถะ แต่ผิดกันในการกำหนดรู้ สมถะอาศัยกายและลมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย
.....แต่วิธีรู้อารมณ์ของใจนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เช่นนั้น คือเราไม่กำหนดดูกาย ไม่กำหนดดูลมหายใจ ถึงแม้ว่าลมหายใจและกายจะมีปรากฏอยู่ก็ตาม แต่เราก็ไม่เอาใจใส่ ถึงจะรู้ก็รู้กันแบบลางๆโดยความไม่ตั้งใจดู ให้มีสติกำหนดรู้อารมณ์ของใจโดยเฉพาะ คึออยู่ในช่วงกลางระหว่างกายกับลมหายใจนั้นเอง อารมณ์ของใจนี้มีลักษณะไม่เหมือนกันทุกครั้งไป บางครั้งก็เป็นลักษณะหนึ่ง และบางครั้งก็เหมือนกัน บางทีก็แบบโลดโผน บางทีก็เป็นอารมณ์ของความรักความใคร่ อารมณ์ประเภทใดก็ตาม ให้เราจับจุดของอารมณ์ประเภทนั้นๆไว้ อย่าส่งใจไปหาตันเหตุของอารมณ์ ข้อนี้สำคัญมาก ถ้าส่งใจไปหาตันเหตุของอารมณ์ในพริบตาเดียวเท่านั้น ตัวสมมุติอันเป็นสาเหตุให้เกิดอารมณ์ก็จะปรากฏทันที ในช่วงนี้รักษาใจให้ดีที่สุด
......ถ้าส่งใจออกไปหาสาเหตุของอารมณ์ อารมณ์ภายในใจก็จะเกิดขึ้น ตัวสมมุติอันเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์นั้นก็จะเข้ามากลบใจทันที เรื่องเช่นนี้ขอเตือนนักภาวนาเป็นพิเศษ อย่านึกเอาเหตุของอารมณ์เข้ามาที่ใจเลย ถึงอารมณ์จะมีความรักความใคร่ ความยินดีพอใจอะไรก็ตาม นี้เป็นผลออกมาจากเหตุคือสมมุติ เพราะความทุกข์นั้นเป็นผลของตัณหา
.....เมื่อเรารู้ทุกข์เห็นทุกข์ได้แล้ว เราจึงหาวิธีดับเหตุแห่งความทุกข์ทีหลัง เรามารู้มาจับอารมณ์ของสมมุติได้แล้ว เราจึงหาวิธีลบล้างตัวสมมุติทีหลัง วิธีที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้เป็นวิธีที่รู้จักอารมณ์ของสมมุติเท่านั้นเอง ถ้าเราไม่จับมันไว้ มันก็จะมาแสดงฤทธิ์ขึ้นที่ใจ แล้วอารมณ์ของสมมุตินี้เอง เป็นอาวุธสำคัญอันดับหนึ่งของกิเลส ตัณหา อวิชชา เมื่อเรายึดอาวุธของกิเลสตัณหาอวิชชาได้แล้ว เครื่องมือคืออาวุธของกิเลสตัณหาอวิชชาก็ไม่มี เราก็จะใช้ปัญญาจู่โจมอวิชชาตัณหาได้ง่ายที่สุด
....ฉะนั้น เมื่อเรายึดเอาอารมณ์ของตัวสมมุติได้แล้ว อารมณ์ที่ถูกจี้ด้วยสติอยู่อย่างนี้ ก็จะค่อยๆหดตัวลงๆ จะหดลงแทบสติจะมองไม่เห็นภายในใจนั้นเลย อารมณ์ประเภทใดก็ตามจะฝืนสู้กับสติไม่ได้ จะเป็นอารมณ์ของราคะ อารมณ์แห่งความรักความใคร่ที่ว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงก็ตาม ถ้าได้ถูกสติจี้ให้ถูกกับจุดแล้ว มันจะค่อยๆเลือนลางไป นี่แล จึงว่าสติเป็นตปธรรม เครื่องแผดเผาเหมือนกับไฟที่ยังน้ำให้แห้ง สติเผาอารมณ์ของสมมุติก็เช่นกัน ขอย้ำอีกที เวลาสติจี้อารมณ์อยู่นี้ ข้อควรระวังที่สุด อย่าให้ใจไปเพ่งเอาสมมุติที่เป็นต้นเหตุของอารมณ์นั้นเด็ดขาด ถ้าเราเพ่งหรือวาดภาพสมมุตินั้นขณะใด ก็เหมือนกับเทน้ำมันเข้ากองไฟขณะนั้น

.....เมื่อเราใช้สติจี้อารมณ์ให้อ่อนตัวลงได้แล้ว เราอย่าไปเผลอว่ามันดับไปหรือหมดไป เป็นเพียงแต่มันอ่อนกำลังลงเท่านั้น อันดับต่อไปในช่วงนี้เป็นปัญญา เราจะต้องมีอุบายสอนใจ ให้ใจได้เห็นโทษความหลงของใจเอง ชี้โทษที่เป็นอารมณ์ของใจนั้นให้ใจฟัง ชี้โทษแห่งความคะนองใจให้ใจได้รู้ ให้ใจได้ฟัง ให้ใจได้เห็น ให้ใจได้รับการอบรมของปัญญา ให้ปัญญาสอนใจ ให้ใจได้รับคำสอนของปัญญา ใจจึงจะเห็นโทษความคะนองของใจเอง เหมือนเด็กกำลังซุกซน ก็ต้องให้ผู้ปกครองเป็นผู้พร่ำสอน เด็กนั้นจึงจะมีความฉลาดขึ้นและรู้จักวิธีรักษาตัวเอง ใจที่ตกอยู่ในความควบคุมของกิเลสตัณหา ก็ไม่รู้ความผิดของตน มืดมนทำตามความยินดีตามความพอใจ ตามกิเลสตัณหาเรื่อยไป คนที่หลงผิดและกลับใจเข้ากับฝ่ายปกครองฉันใด ใจที่หลงผิด หลงโลก หลงวัฏฏะ อยู่ในภพทั้งสามก็ยอมจำนนต่อปัญญาฉันนั้น นี้แหละนักภาวนาทั้งหลายจึงขอย้ำอีกที ก่อนที่จะภาวนาทุกครั้ง ก็ให้ตั้งใจกำหนดเอาวิธีนี้
....เพื่อจะได้เป็นหลักของปัญญาต่อไป ครั้งใดอารมณ์ของใจไม่กำเริบ เราก็กำหนดสติรู้อารมณ์ของใจทุกครั้ง อารมณ์ของใจหยาบ ก็ให้รู้ว่าอารมณ์หยาบ เวลาใดอารมณ์ของใจละเอียด ก็มีสติรู้อยู่กับอารมณ์ละเอียด ใจมีอารมณ์ของราคะ ก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์ของโทสะก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์แห่งความทุกข์ต่างๆก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์แห่งความสุขก็ให้รู้ ใจอยู่กับอารมณ์เฉยๆก็ให้รู้ ให้ใจมีสติรู้อยู่กับอารมณ์ของใจชนิดต่างๆ หรือใจจะมีอารมณ์ว่างๆ ก็รู้กับอารมณ์ว่างๆไปก่อน แต่อย่าไปติดใจอยู่ในอารมณ์ว่างนี้ให้มากเลย มันจะกลายเป็นฌานสมาบัติไป ขอให้กลับมาใช้ปัญญาพิจารณากาย พิจารณาอารมณ์ที่เกิดกับใจอยู่เสมอ

การพิจารณากายและอารมณ์ของใจ

....ต่อไปจะแนะวิธีใช้ปัญญาพอเป็นแนวทาง การใช้ปัญญาพิจารณากายและพิจารณาอารมณ์ของใจ ให้อยู่ในระบบเดียว รวมอยู่ที่ใจ การพิจารณากายนี้เราต้องยกเอากายเราเป็นหลัก คือให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในสภาพของกาย ความทุกข์ภายในกาย และความไม่มีอะไรเป็นแก่นสารภายในกาย ความสกปรกของร่างกาย เราจะพิจารณาเอาความเกิดเป็นหลักในเบื้องต้น
....เริ่มแต่ปฏิสนธิขึ้นมาก็ได้ หรือจะพิจารณาในช่วงที่เรารู้เหตุการณ์ต่างๆขึนมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้ หรือจะพิจารณาล่วงหน้าไปในอนาคตต่อไปก็ได้ เช่นเราจะพิจารณาการเกิดที่กายในเบื้องต้น ถึงเราไม่เห็นเราก็ต้องวาดมโนภาพตามความเป็นมาให้ถูกกับหลักการเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริง ครั้งแรกเกิด ก็ต้องอาศัยหยดน้ำมันเดียวของพ่อแม่ที่เรียกว่า กลละ แล้วก็แปรสภาพเป็นปุ่มเปือกแล้วแปรสภาพเป็นเลือด แล้วรวมตัวเกาะกันเป็นก้อนเลือด จึงเรียกว่า ฆนะ จากนั้นก็แตกออกเป็นปัญจสาขา คือ แขนสอง ขาสอง ศีรษะหนึ่ง มีนิ้วมือ นิ้วเท้า มีตา หู จมูก ลิ้น กาย อวัยวะส่วนอื่นๆก็มีความสมบูรณ์ อาศัยความอบอุ่นอยู่ในธาตุของแม่ รูปกายของเด็กก็มีความเจริญขึ้น
......เมื่อครบกำหนดก็ออกจากท้องแม่มา ในระยะที่อยู่ในท้องแม่นั้นจึงไม่มีการหายใจ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีการหายใจมีสามขณะ คือ ๑. เด็กอยู่ในท้องแม่ ๒. คนดำน้ำ ๓. ผู้เข้านิโรธสมาบัติ เมื่ออกจากท้องแม่มาแล้ว ได้ถูกกับอากาศภายนอกก็เริ่มการเปลี่ยนแปลงรูปกายนี้มาเป็นลำดับจนถึงเป็นเด็กเป็นหนุ่ม อาการของกายก็เปลี่ยนแปลงขึ้นทุกระดับจนถึงปัจจุบัน จนถึงวัยสุดท้ายคือตาย นี้อธิบายคร่าวๆพอเป็นโครงเรื่องเท่านั้น จงพิจารณาด้วยปัญญาตามเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้เถิด จึงขอย้ำ ในหลักปัญญาในหลักปัจจุบันนี้ ให้รู้เหตุการณ์ในอดีต ในปัจจุบัน และเหตุการณ์ในอนาคต ยกตัวอย่างพอให้นักภาวนาพิจารณาตามเพียงย่นย่อ คืออยากให้นักภาวนาช่วยตนเองให้มากที่สุด ในช่วงแรกเกิดจนถึงเป็นเด็กนั้น เพียงให้รู้ตามเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงของกาย เพื่อให้เห็นเป็นของไม่เที่ยงและความทุกข์ ด้วยวิธีต่างๆติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันคือเดี๋ยวนี้
....นักภาวนาต้องตั้งเอาความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นหลักสำคัญ ให้รู้เท่าเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ ความเป็นอยู่มีอยู่ เพื่อให้ใจรู้การเกิดมาของกาย ให้รู้ความตั้งอยู่ของกาย ให้รู้ความหมดอายุของกาย และเพื่อไม่ให้ใจเข้าผูกพันกาย ส่วนอารมณ์ของใจจะเป็นอารมณ์ของ ราคะ ตัณหา โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์นานาชนิดก็มีอยู่ที่ใจ รวมอยู่ที่ใจ มันจะแสดงออกตามวัย และมีความรุนแรงไม่เท่าเทียมกัน อารมณ์ของเด็กมันก็แสดงออกมาในความรุนแรงเป็นอีกอย่างหนึ่ง หนุ่ม สาว มันก็แสดงอารมณ์ความรุนแรงไปอีกอย่างหนึ่ง จนถึงกลางคนและวัยชรา มันก็จะแสดงออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง เป็น สนฺตติ สืบต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงทำให้ใจเราหลงอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ภายในใจนี้เอง จึงทำให้ใจเร่ร่อนติดอยู่กับภพชาตินั้นๆ ไม่มีความเบื่อหน่าย พอใจในการเกิดอีกต่อไป เพราะใจไม่รู้ว่า การเกิดเป็นความทุกข์ มีความเห็นหน้าเดียวคือ เข้าใจว่าเป็นความสุข เหมือนกับคนสายตาสั้นมองไม่เห็นไกล เมื่อภัยเข้ามาถึงตัวจึงจะหาอาวุธป้องกัน มันจะทันได้อย่างไร นี้ฉันใด ใจมีความคิดสั้น มันย่อมแสดงผลออกมาภายนอกคือน้ำตา ส่วนภายในไม่ต้องถามถึงก็พอรู้กัน

...... เหตุนั้นนักภาวนาควรใช้ปัญญาพิจารณาอารมณ์ของใจอันเกิดมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นเหตุ เพื่อให้ใจได้สังเกตรู้ตามเหตุปัจจัย ก่อนที่จะไปยินดีกับรูปเสียงภายนอกนั้น ใจเราต้องมายินดีพอใจกับตัวเราไว้แล้วโดยไม่รู้สึกตัว เรียกว่า อุปาทานขันธ์ อารมณ์อันเป็นราคะตัณหามีในใจเราอันดั้งเดิมมีอยู่แล้ว จึงไปดึงดูดเอารูปเสียงนั้นๆมาเข้าประกอบกัน จึงพัวพันเข้าหาใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นของประจำโลก ถึงเราไม่เกิดมาหรือเกิดมาแล้ว หรือเราตายไป รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ยังมีอยู่ ผิดแต่เราเข้าไปยึดถือเอาเท่านั้นเอง เพราะเราไม่รู้ จึงเป็นเหตุให้เราหลง และให้เข้าใจว่าตัวเราเป็นเหตุ เราจึงมาดับต้นเหตุคือตัวเราเอง เหตุเกิดขึ้นที่ไหนก็ดับเหตุในที่นั้น เหตุเกิดขึ้นจากเรา เราก็หาวิธีดับเหตุที่ตัวของเราเอง เหมือนเราดับไฟ เราจะไปดับควันไฟ ไปดับแสงไฟ ไปดับความร้อนของไฟ ผู้นั้นโง่ที่สุด เพราะดับไฟไม่ถูกจุดของต้นไฟ นี้ฉันใด ไฟคือราคะตัณหาที่มีอารมณ์เดิอดร้นเกิดขึ้นที่ใจ เราจะเอาสมาธิ ฌานสมาบัติขั้นไหนไปดับ ก็ไม่สามารถที่จะไปดับไฟราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดจากใจไปได้เลยฉันนั้น
....เราต้องใช้ปัญญาเข้าไปแก้ไขตันเหตุ เปลี่ยนแปลงลบล้างความยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัวตนของเรา รูปเหล่านี้เอง เอามาแยกแยะออกเป็นชิ้นส่วน เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น เป็นอาการของใจ มิใช่ใจเดิม ส่วนใจเดิมจะมีความแพรวพราวอยู่ในใจเอง คำว่า วิญญาณนั้นไม่ใช่ใจ แต่ก็เป็นรัศมีความรู้ออกมาจากใจ ความรู้ในวิญญาณนี้เอง มันเจือด้วยความเศร้าหมอง คือ โมหะอวิชชา รู้ก็รู้แบบงมงายไปตามกิเลสตัณหา คือรู้ในทางวิธีขุดหลุมฝังตัวเอง เหมือนกับแสงไฟที่มีสีต่างกัน ไฟนีออนมีสีแดง สีขาว สีเขียว ไม่ขึ้นอยู่กับไฟ มันขึ้นอยู่กับหลอดไฟต่างหาก ฉันใด ความรู้ของวิญญาณนั้นจะรู้ไปแบบไหน วิธีใด มันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมพาให้เป็นไปและเปลี่ยนแปลงไปไม่คงที่ มีการเกิดๆดับๆสลับซับซ้อนไม่คงที่ฉันนั้น คือไม่มีสติยับยั้งอยู่นั่นเอง วิญญาณคือความรู้นั้น คือรู้ในวิธีการสร้างภพสร้างชาติ ฉลาดรู้ในวิธีผูกตัวเองให้อยู่กับโลกเท่านั้น แต่ไม่รู้ในอริยสัจสี่ หรือสภาวะอันมีจริงเป็นจริง

......ถ้าวิญญาณรู้เห็นไม่จริงอย่างนี้ ความไม่รู้จริงอย่างอื่นก็พลอยติดตาม เช่น ความรู้ในสังขาร ก็ปรุงแต่งในทางไม่จริง ความรู้ในสัญญาก็เกิดๆดับๆจำไม่ได้คงที่ ความรู้ในเวทนา ความเสวยอารมณ์ก็มีทั้งสุขทั้งทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ ความรู้ในรูปก็ไม่รู้ตามหลักความเป็นจริง ความไม่รู้จริงนี้เองจึงเกิดความหลง ความรักความใคร่ พอใจไปตามกามารมณ์ต่างๆของโลก นี้แลจึงเป็นต้นเหตุแห่งความมืดมิดปิดความเป็นจริง จึงว่าอวิชชาความไม่รู้ โมหะ ความหลง ก็ตัวนี้เอง
....ฉะนั้น นักภาวนาจึงเปลี่ยนเป็นอุบายสั้นๆ เพื่อเข้าใจในวิธีง่ายๆ คือคำว่าอวิชชานั้นคือความไม่รู้ของจริงใน อริยสัจธรรม คือความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ให้เราใช้ปัญญาพิจารณาตามหลักความเป็นจริง เพื่อให้ใจได้มีวิชชา คือความรู้ความเป็นจริงด้วยปัญญา วิชชาภายในใจก็จะมีความสว่างรอบรู้ รู้รอบในใจเอง นี้แหละคือเอาปัญญาเข้าไปฝึกฝนอารมณ์ของใจ ให้ใจมีความสว่าง เหมือนกับเราติดไฟขึ้นในที่มืด ความมืดก็ย่อมหายไปเอง ความรู้ความสว่างของใจที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาแล้ว ความมืดของใจก็หายไป ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูอาการของกาย ลักษณะของกาย ความเกิด ความตั้งอยู่ และความดับไปของกายทุกส่วน ทั้งภายนอกภายใน ทั้งตัวเองและคนอื่น ให้ตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือความเปลี่ยนไปแต่วัยต้นจนถึงวัยชรา ความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในกายตั้งแต่ต้นจนถึงความทุกข์ปัจจุบัน และใช้ปัญญาปฏเสธว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงบ้านอาศัยชั่วคราวเท่านั้น นานไปก็จะแยกกันไป นี้เป็นหลักภาวนาง่ายๆ ส่วนปัญญาจะพิสดารกว้างขวาง และอุบายใช้ปัญญาประกอบนั้นมอบให้นักภาวนาเอง
.......ข้อสำคัญที่สุด เราพิจารณากายส่วนใด ก็ให้เห็นแจ้งประจักษ์ในส่วนนั้น จะพิจารณาช้าหรือเร็วแล้วแต่ความสะดวก ถ้านักภาวนาสติยังไม่เร็วและแข็งพอ ควรใช้ปัญญาพิจารณาช้าๆ เพื่อจะได้เพ่งดูกายให้รู้ให้เห็นกายแต่ละส่วนมีลักษณะสัณฐานอย่างไร ให้ใจจดจ่อรู้ไปตามนั้น และใจเราก็ไม่พะวักพะวนไปในเรื่องอื่นๆ ใจก็จะอยู่กับกาย รู้กายอยู่ตลอดไป นี่แล จึงว่าสมาธิหนุนปัญญาไปในตัว ถ้าพิจารณากายไปนานๆ ถ้าใจมีความเบื่อหน่ายในการคิดพิจารณาแล้ว ก็ให้หยุดการพิจารณา ให้กลับใจมาอยู่ในความสงบ คืออารมณ์ของใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำใจให้แผ่วเบา รู้ลมหายใจเข้าออกโดยมีสติอยู่อย่างนั้น เพื่อให้ใจได้พักผ่อนไปในตัว กำลังใจที่เกิดจากสมาธินี้ จะได้ใช้หนุนปัญญาพิจาณาต่อไป


ปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์

....การใช้ปัญญาพิจารณานั้น เราจะนั่งจะเดินหรืออยู่ในอิริยาบทใดก็แล้วแต่ความสะดวก เพราะปัญญาพิจารณานั้น ใจไม่อยู่กับที่ เมื่อปัญญาพิจารณา ใจก็พลอยรู้เห็นตามสภาพส่วนนั้นๆไปตามลักษณะ การพิจารณาทุกครั้ง ให้เอาไตรลักษณ์เป็นหลักประกอบในอาการนั้นๆทุกครั้งไป ให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะว่า รูปสังขาร จิตสังขาร ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน ใกล้หรือไกล หยาบละเอียด ประณีตเลวทราม อันเป็นของประจำ มีอยู่ในโลกนี้ทั้งหมดพิจารณาให้ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน คือความไม่เที่ยง ความทนอยู่ได้ยากและไม่มีอะไรเป็นส่วนตัวของเราแม้แต่น้อยเลย นี้แล จึงให้ทำลายต้นเหตุ ดูเหตุให้รู้ให้เห็น เพื่อไม่ให้ใจลุ่มหลงยึดถือว่าเรา ว่าเขา ต่อไป เพราะว่ามีเราอยู่ที่ไหน เขาก็มีอยู่ที่นั่น ถ้าเราไม่มี เขาจะมีมาจากไหน เพราะเราเป็นต้นเหตุ ผล คือเขาย่อมติดตามมาเป็นเงามาเทียมเราทันที สิ่งใดเป็น ฆณะเป็นก้อน สิ่งนั้นย่อมมีเงา ถ้าฆณะ คือก้อนนี้ไม่มี เงาจะมีมาจากไหน
........ฉะนั้นจึงให้ทำลายก้อนนี้ด้วยปัญญา เมื่อทำลายก้อนนี้ได้แล้ว สันตติ ความสืบต่อในก้อนนั้น ย่อมหมดไป ความเคลื่อนไหวไปมาก็หมดปัญหาลงทันที เหมือนกับความร้อนของไฟพร้อมทั้งตัวไฟเอง เมื่อเราดับกำเนิดอันเป็นเหตุให้เกิดไฟได้แล้ว ความร้อนของไฟตลอดตัวไฟเองก็หมดปัญหาลงทันที ฉันใด เราทำลายฆณะได้แล้ว ความสืบต่อในอสังขตธาตุ อสังขตปัจจัย ก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน จึงเป็นอกุปปธรรมโดยสมบูรณ์ฉันนั้น
....นี้แล นักภาวนาทั้งหลาย เริ่มแรกในการปฏิบัตินั้น ย่อมมีการขลุกขลักกันอยู่บ้าง เหมือนการทำทางไปสู่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่ใช่เขาจะราดยางไปเลยทีเดียว เขาต้องกรุยทาง มีรถน้อยใหญ่ ช่วยกันบุกเบิกป่าดงพงไพร ไหล่เขา ดังเราเห็นอยู่ในที่ต่างๆ กว่าจะราดยางลงได้ให้เป็นเส้นทางไปมาสะดวก ก็ย่อมลงทุนลงแรงอย่างมากมายทีเดียว การภาวนาเริ่มต้นก็เช่นกัน มีทั้งผิดทั้งถูก ย่อมล้มลุกคลุกคลานหนักเอาเบาสู้แบบปากกัดตีนถีบอย่างสุดเหวี่ยงทีเดียว นี่ต้องอาศัยผู้ทำ มิฉะนั้นอาจจะล้มเหลวหรือพลาดได้ เพราะการภาวนานั้นไม่ได้จำกัดกาล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมตามกาลเวลาเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับความตั้งใจให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เมื่อออกจากที่จำวัดแล้ว จึงให้มีสติประจำใจ บิณฑบาตทั้งไปและกลับ หรือจัดอาหารบิณฑบาตก็ดี จึงให้มีสติอยู่ที่ใจ จะอยู่ในอิริยาบถใด ที่ไหน เช่นไรก็ตาม ต้องมีสติรู้ตัวรู้ใจอยู่ตลอดเวลาหรือใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในการเกิดการดับในกาย ในใจอยู่เป็นนิจ หรือรู้เห็นในส่วนภายนอก มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันกิเลสตัณหาไม่ให้เข้ามาสู่วงในหัวใจเราได้ ตั้งใจให้มีสติเตรียมพร้อมทุกขณะ พร้อมที่จะเผชิญต่อกิเลสตัณหาอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

......ข้อควรระวังเส้นทางของกิเลสตัณหาอีกอย่างหนึ่งคือการคุยกัน นอกจากการสนทนาในธรรมแล้ว ย่อมเผลอตัว คุยกันแบบเอาไฟเผาตัวเองและผู้อื่นโดยไม่รู้สึก กว่าจะสำนึกตัวได้น้ำลายแทบไม่มี บางกลุ่มไม่มีสติสำนึกตัวเองได้บ้างเลย ผู้ต้องการความสงบ แต่ชอบพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไม่ใช่นักภาวนาโดยตรง จะว่านักภาวนากาฝากก็ไม่ผิด คือไม่คิดถึงความรำคาญของผู้อื่นเลย ผู้อื่นอยากทำความเพียรนั่งสมาธิ เดินจงกรมหรืออยู่ด้วยความสงบส่วนตัว ก็ทำเสียงต่างๆไปให้ผู้อื่นรำคาญใจ คำว่า "กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวาวีตีปตนฺติ" วันคืนล่วงไปล่วงไปทำอะไรอยู่ และเรายินดีในที่สงบสงัดหรือไม่ ถ้าเรายินดีในที่สงบสงัด ผู้อื่นก็ย่อมต้องการความสงบสงัดเช่นกัน เมื่อเราทำอะไรไป พูดอะไรไป จงคิดเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง
....ฉะนั้น ผู้มีความหวังประโยชน์ส่วนยิ่งแล้ว ควรจะสงวนตัวไม่ทะนงตัว แบบคมในฝักเหมือนกับพระมหากัจจายน์ กล่าวไว้ว่า "มีตาให้เหมือนกับคนตาบอด มีหูให้เหมือนกับคนหูหนวก" นี้เพื่อให้เราสำนึกอยู่ใน กายวิเวก จิตตวิเวก คือให้นักภาวนามีความตระหนัก ในวิธีเก็บตัว และวิธีหลบตัวเพื่อซ่อนเร้นและอำนวยความสะดวกในการรักษาตัว เพื่อไม่ให้ลืมตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆ หรือทำตัวเพื่อไม่ให้คนอื่นสนใจตัวเอง ถึงหากอยู่ในสังคมน้อยใหญ่ก็ตาม ก็เหมือนกับกาอยู่ในท่ามกลางฝูงหงส์ โดยไม่มีคุณค่าอะไร จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีประตูหน้าประตูหลังตั้งยามรักษานั้นแล จึงจะมีเวลาเป็นของตน จะบำเพ็ญภาวนาอยู่ในที่ใดเวลาใดก็อยู่ตามอัธยาศัย ใจก็จะคืบคลานก้าวหน้าไปโดยเร็ว
....หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นเพียงอุบายส่วนตัวเพื่อหลบไม่ให้อารมณ์ของรูปและเสียงนั้นได้เข้ามาพัวพันในใจนั้นเอง ถึงจะเห็นรูป ได้ยินเสียงก็มีอุบายทำตัวเหมือนกับคนตาบอดหรือหูหนวก เป็นใบ้ ไม่ผูกใจอยู่กับรูปเสียงนั้นๆ เมื่อรูปเสียงนั้นหายไป ใจก็ไม่มีอารมณ์ผูกพันหันเหเรรวนปักใจผูกใจในรูปเสียงนั้นเลย การภาวนา ถ้าไม่มีอารมณ์ของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เข้ามารบกวนใจแล้ว การภาวนาจะมีความงอกงามเจริญขึ้นเป็นลำดับ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้เพื่อหวังประโยชน์ในผล ถ้าเรารักษาไม่ให้ตัวบุ้งตัวหนอนเข้าไปซุกซ่อนนอนกินอยู่ในลำต้น หรือรักษาไม่ให้เชื้อราต่างๆ หรือ มด แมลง มารบกวน พรวนดิน ใส่ปุ๋ยรดน้ำอยู่บ่อยๆ ต้นไม้ก็จะงอกงามให้เราได้รับผล ฉันใด นักภาวนาต้องรักษาใจให้อยู่เป็นปกติอย่าให้มีอารมณ์อันเป็นข้าศึกของใจ เข้ามาซุกซ่อนบ่อนทำลายใจเราเลย พยายามรักษาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมทุกเวลาฉันนั้น ไม่ว่าอยู่ในท่าใดอิริยาบทใด ให้มีสติปัญญารักษาใจ ทำต่อเนื่องกันไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ตื่นจากการพักผ่อนแล้วต้องมีสติปักหลักรักษาใจให้ดี เพื่อไม่ให้ใจออกไปดึงดูดเอาอารมณ์ภายนอกเข้ามาอยู่ในใจได้ หรือหากเวลาเราพลั้งเผลอ ก็ให้มีสติปัญญาเข้ามาชำระอารมณ์ประเภทนั้นๆให้หมดไปโดยเร็ว มิฉะนั้นอารมณ์จะเข้าเกาะกันวันละเล็กวันละน้อย และจะทำให้ใจมีความเศร้าหมองโดยไม่รู้สึกตัว ผลที่สุดอารมณ์ภายในใจ ก็จะเกิดเป็นพิษขึ้นที่ใจ ฉะนั้นเราควรรักษาใจไม่ให้ไปเกาะอารมณ์ประเภทนั้นๆตั้งแต่ต้นมือ เพื่อไม่ให้อารมณ์นั้นๆเกิดขึ้นที่ใจเราได้อีกเลย จึงควรระวังรักษาติดต่อกันให้คงเส้นคงวา อย่าประมาท อย่าทำใจให้สนิทกับอารมณ์นั้นๆ และอย่าทำความคุ้นเคยในอารมณ์นั้นอีกต่อไป โดยตั้งใจปฏิบัติภาวนาให้สม่ำเสมอทุกวันไปไม่ขาดวรรคขาดตอน ผลของการปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา เหมือนกับผลมะม่วงที่เกิดมากับต้นมะม่วงเอง ทีแรกก็มีรสเปรี้ยว เมื่อหากมันสุกแล้ว รสมันก็จะหวานโดยไม่มีใครเอาน้ำตาลไปผสมไว้เลย นี้ผลมะม่วงลูกเดียวยังเปลี่ยนแปลงสภาพรสไปได้ นักภาวนา ถ้าหากรักษาปฏิบัติต่อเนื่องกัน ผลการปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรง ความสงบความรู้เห็นเป็นมหัศจรรย์ก็จะเกิดกับใจเราโดยเราไม่ได้คาดคิดมาก่อน และไม่มีสิ่งใดใครคนหนึ่งมาบอกล่วงหน้าให้เรารู้บ้างเลย และไม่เคยปรากฏการณ์มาก่อนในชีวิตของเรา



การดำเนินตามมรรควิถี

....ความสงบอันยิ่งใหญ่นี้ ก็จตะตีแผ่รัศมีออกมาในใจในระยะช่วงอันสั้นนี้ทันที และรู้ว่าใจหยั่งลงสู่ความสงบเต็มภูมิด้วย ความสงบอันนี้จะมีความผิดแผกแตกต่างกันกับความสงบอย่างอื่นเป็นอันมากทีเดียว อุปาทานความยึดถือทั้งหมดจะขาดสิทธิ์ไม่มีฤทธิ์ในใจแม้แต่น้อย ขันธ์ห้า อายตนะก็เพียงสักว่าเท่านั้น ความรู้ในขันธ์และอายตนะภายในไม่มีปัจจัยต่อเนื่องกับอารมณ์ภายนอกได้เลย ความรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่เป็นสายใยต่อเนื่องกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พูดรวมๆแล้ว ก็คือสัมผัสเกาะไม่ติดนั่นเอง รูปขันธ์กับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต่างอันต่างอยู่ ต่างอันต่างสงบ ไม่มีขันธ์ใดทำงานแม้แต่น้อย ความเสวยอารมณ์ภายในใจไม่มี ความปรุงความคิดภายในใจก็ไม่มี ความรู้เกิดๆดับๆแส่ส่ายออกไปภายนอกก็ไม่มี ความรู้สึกลึกภายในใจนั้นมีอยู่ แต่ก็รู้เป็นเอกเทศอยู่เฉพาะรู้เท่านั้น เหมือนกันกับอยู่คนละโลกไม่เกี่ยวเนื่องถึงกันแม้แต่น้อยเลย เมื่อใจคิดไม่เป็น ความรู้ทางวิญญาณก็ดับสนิทเท่านั้น สภาพรู้อันไม่มีนิมิตหมายในโลกนี้ ขอมอบให้นักภาวนาพิจารณาเอง จะเป็นอยู่อย่างไร อยู่ในสภาพเช่นไร จะหาข้อเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เข้าใจนั้นยากเหลือเกิน หรือพูดไปก็จะเกินความพอดีของผู้อ่าน ฉะนั้นขอมอบความสงบเช่นนี้ให้ผู้อ่านได้รับความเสียเอง ว่าเป็นอยู่อย่างไร สภาพแห่งความสงบและสภาพใจไม่มีอะไร ขอให้รู้เองเห็นเองจึงจะแน่นอน ต่อไปความสงบอย่างนี้จะสงบอยู่นานพอสมควรแล้ว ความสงบนี้จะพลิกแพลงขึ้นอีกวิธีหนึ่ง จะอยู่ในอิริยาบทใดก็ตามจะไม่มีปัญหา
....เมื่อความพลิกแพลงในความสงบนี้นิดเดียวเท่านั้น ความกล้าหาญจะแสดงออกมาทางใจให้เต็มกำลังเต็มอัตราทีเดียว ความกล้าหาญนั้นจะกล้าไปในทางใดและอะไรพาให้เกิดความกล้าหาญนั้น ก็ผู้นั้นจะรู้ภายในส่วนตัวของท่านเอง เมื่อความกล้าหาญนี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านจะอยู่ในอิริยาบทใดก็ตาม จะพิจารณาก็ตาม จะทำความสงบอยู่ก็ตาม ความกล้าหาญนั้นก็อยู่ในเชิงว่า ๓ ภพไม่มีความหมาย ความกล้าหาญนี้จะตั้งอยู่ชั่ว จริมกจิต จะกระดิกขึ้นที่ใจ ปุ๊บเดียวก็รู้ทันที คำนี้สำคัญที่สุด คือคำว่า "วิราคา วิมุจฺจติ วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ" เพราะสิน้กำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ความรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมมี (ความจริงก็จะเปิดเผยให้รู้อยู่ในตรงนี้เอง) "ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ" ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว นักภาวนาจะรู้ใสตัวท่านเอง และหายความสงสัยในตัวเองทันที
....ส่วนการระลึกถึงพระพุทธเจ้านั้นก็น่าอัศจรรย์ อยากไปกราบพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่รู้ว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ดังพระสาวกของพระองค์ไปรู้เห็นธรรมแล้ว ถึงทางไกลสักเท่าไร ก็อุตส่าห์เดินทางมากราบนมัสการพระพุทธเจ้า แต่ความคิดอยากจะเล่าสิ่งที่รู้เห็นนั้นถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบไม่มีในใจ เพียงได้กราบนมัสการพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามในแง่ความรู้เห็นในท่ามกลางสงฆ์ ก็สามารถเล่าถวายพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง โดยไม่มีความกระดากใจต่อพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ทั้งหลายแม้แต่นิดเดียว บางองค์ก็กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ ถึงพระพุทธองค์จะประทับอยู่ในที่นั้นก็ตาม ก็สามารถพูดไม่มีความเกรงขามในท่ามกลางสงฆ์ และก็พูดตามความจริงของท่าน ใครจะว่าอวดตัวในท่าไหนไม่เกี่ยว ไปที่ไหนอยู่ที่ไหนในท่ามกลางสงฆ์จะน้อยหรือมาก ก็สามารถกล่าวคำว่า "ยสฺส มคฺเค วา ผเล วา กงฺขา อตฺถิ โส มํ ปุจฺฉตุ" ผู้ใดมีความสงสัยในมรรคในผล ผู้นั้นจงถามข้าพเจ้า อยู่อย่างนั้น ถ้าทุกวันนี้มีผู้ว่าเช่นนั้น ถึงจะว่าตามความเป็นจริงก็ตามเถอะ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านเล่า !!! และใครจะมาเป็นผู้ตัดสินให้ เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงผ่านไปแล้ว ความกล้าหาญนั้นก็อ่อนลงๆ จนไม่มีความกล้าหาญอยู่เลย และปัญญาเคยพิจารณาในแง่ต่างๆในรูปธรรม นามธรรม ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เพื่อหาช่องทางให้หลุดพ้นไปจากวัฏฏะนี้ ก็หมดภาระแล้ว จะเหลือเพียงกำลังใจ กำลังใจนี้ก็เป็นผลอีกส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์อยู่มาก กำลังใจนี้จะตั้งอยู่ได้ก็ ๗ วัน กำลังเบ่งบานเต็มที่ ต่อไปก็ค่อยๆเลือนลางไปทุกๆวัน ประมาณอีก ๗ วัน ก็จะอยู่ในท่าปกติภายในธาตุขันธ์ ความรู้เห็นมาแล้วนั้นก็รู้เห็นเป็นปกติ และรู้เห็นเป็นเอกรัตติง ราตรีเดียวอยู่ตลอดกาล ไม่มีดับ มีเกิด มีขึ้น มีลง ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสของโลกใดๆทั้งสิ้น
....คำว่า "กตํ กรณียํ" กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว จึงหมดภาระส่วนตัว ไม่ต้องไปหาเอาน้ำมาดับไฟอีกต่อไป เพราะไฟได้ดับสนิทไปหมดแล้ว นี่เป็นผลการปฏิบัติครั้งสุดท้าย ได้อธิบายเพียงย่นย่อ พอให้ผู้อ่านได้สดับไว้เป็นแนวทาง
....ถ้าท่านอ่านแล้วยังไม่เข้าใจในวิธีปฏิบัติภาวนา ผู้เขียนก็พร้อมที่จะอธิบายเพิ่มเติม เพราะหลักภาวนานี้ ผู้เขียนก็ได้ย่นย่อและอธิบายไว้สั้นๆเป็นบางตอน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจในวิธีภาวนาได้ง่ายขึ้น เมื่อภาวนาไปแล้ว ผลแห่งความสงบความรู้เห็นในแง่ต่างๆอาจจะเกิดขึ้นไม่ค่อยเหมือนกันทั้งหมด เพราะนิสัยไม่เหมือนกันทุกคน ก่อนใจจะลงสู่ความสงบ จะแสดงในเบื้องต้นไม่เหมือนกัน และบางคนชอบมีนิมิตเกิดขึ้นนานาชนิด บางคนก็ไม่มีนิมิตมาเกี่ยวข้องเลย และขอเตือนผู้มีนิมิตบ้างเล็กน้อย ถ้าหากมีนิมิตเห็นสิ่งน่ารักน่ากลัวเกิดขึ้น หรือมีเสียงดีงขึ้นในที่ใกล้หรือไกล จะเป็นเสียงคนหรือเสียงสัตว์ก็ตาม ให้ตั้งสติลงที่ใจให้เข้าใจว่าของสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะกิเลส สังขารตัวเองหลอกตัวเอง อย่าไปปักใจเชื่อว่าสิ่งอื่น และก็อย่ากลัวในนิมิตนั้นๆ ถึงความกลัวเกิดขึ้นก็ห้ามออกจากที่ ถ้าของสิ่งเหล่านี้สามารถทำลายชีวิตเราหรือกินเราเป็นอาหารได้ก็เชิญ ถ้าเรากล้ายอมเสียสละชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น นิมิตนั้นก็จะหายทันที ถ้านิมิตที่น่ารักมีขึ้น ก็อย่าส่งใจไปตามนิมิตนั้นเลย นั้นคือสังขารออกหลอนตัวเอง ถ้าส่งใจไปตามสังขาร มันก็จะมาแสดงให้จิตเราถอนออกจากสมาธิทุกครั้งไป จะเป็นอย่างไรก็ตาม ขออย่าส่งใจไปดู ให้กำหนดสติรู้เฉพาะใจอย่างเดียว ไม่สนใจกับนิมิตใดๆทั้งสิ้น ถ้าหากทีปัญญาจะเอานิมิตนั้นมาพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ได้ยิ่งดี ถ้ามีปัญญารู้เท่าทันสังขารอยู่แล้ว สังขารก็ไม่ออกไปแสดงตัวให้เราปรากฏเห็นเลย ขอนักภาวนาจงเข้าใจตามนี้เถิด ขอให้ผู้ปฏิบัติจงสัมฤทธิ์ผลในการภาวนาเทอญ.//ฯ



วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อที่ ๑๐.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า สมณะนั้นเคยเป็นครูของเรา

อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า สมณะนั้นเคยเป็นครูของเรา

คำว่าสมณะนั้น หมายถึงพระ หรือแปลอีกประโยคหนึ่งว่า หมายถึงผู้สอน เคยเป็ยครูของเรามา หมายถึง ท่านนั้นเคยเป็นครูอาจารย์ของเราหมายถึง เคยสั่งสอนอบรมเรามา ได้ช่วยเหลือสงเคราะห์เรามา เคยเป็นสรณะที่พึ่งในตัวเอาตลอดมา คำว่าอย่าได้เชื่อ หมายถึงสมณะนั้นจะอบรมสั่งสอนในวิธีภาวนาปฏิบัติให้เราได้เข้าถึงซึ่งมรรคผลในนิพพานหรือไม่ สมณะนั้นท่านมีความรู้ความฉลาดรอบรู้ในธรรมที่ถูกต้องเพียงใดความรู้กสึกความเข้าใจสมณนั้น จะมีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรม หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดไปจากเส้นทางแห่งมรรคผลนิพพาน เมื่อเรายังไม่เข้าใจในความเห็นของท่านและความรู้ความสามารถของท่านอย่างถูกต้อง เราก็อย่าเพิ่งตัดสินใจว่า ท่านจะแนะนำอบรมสั่งสอนให้เราได้รับความถูกต้องได้ ถึงท่านจะเป็นสมณะ เป็นนักบวชก็ตาม ความรู้เห็นของท่านในทางปฏิบัติธรรมอาจผิดพลาดได้ เมื่อได้ฟังธรรมจากท่านแล้ว เราควรจะนำเอาหมวดธรรมนั้น มาพิจารณาก่อนว่า เรื่องที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผล พอเชื่อถือได้เพียงใด มิใช่ว่าเคยเป็นครูของเรามา แล้วก็จะเชื่อท่านไปเสียหมด ฉะนั้นเราต้องฝึกตัวเรา ให้มีนิสัยอย่าเชื่ออะไรง่ายเกินไป ไม่เช่นนั้นเราจะผิดหวังในภายหลัง ดังที่มีข่าวใหญ่ได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ทำให้ลูกศิษย์ผิดหวังมาแล้ว ก็เพราะถือว่า ท่านเคยเป็นครูบาอาจารย์เรามานั่นเอง

ถึงท่านจะมีบุญคุณต่อเรา เคยสงเคราะห์ช่วยเหลือตัวเรามาก็ต้องแยกออกจากกันเป็นคนละส่วน เราต้องมีนิสัยกตัญญูกตเวที นึกถึงบุญคุณท่านในส่วนนี้ อะไรที่จะตอบแทนบุญคุณท่านได้ เราก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ของเรา อย่าประมาทในตัวท่าน และให้ความเคารพในตัวท่านอยู่เสมอ อันความถูกต้องในทางธรรมปฏิบัติก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง อย่าเอาบุญคุณ และความถูกต้องในธรรมปฏิบัติไปรวมกัน จะทำให้เกิดความสับสน
คำว่าศรัทธา หมายถึง ความเชื่อ พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ให้เชื่อในสิ่งควรเชื่อ สิ่งใดควรเชื่อถือได้ สิ่งใดเชื่อถือไม่ได้ เราต้องรู้วิธีเลือกเฟ้นในความเชื่อ ให้ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง มีเหตุที่เป็นธรรมาธิปไตย รองรับในความเชื่อนั้นๆ ฉะนั้นความเชื่อจึงเป็นดาบสองคม เป็นได้ทั้งคุณและโทษ มีประโยชน์และเสียประโยชน์ พุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ ก็เพราะพระองค์มีพระญาณหยั่งรู้แล้วว่า เมื่อถึงยุคบั้นปลายพระพุทธศาสนา จะมีศรทธาบางคนบางกลุ่มมีความเชื่อต่อพระบางองค์ที่เรียกว่า เชื่อแบบผูกขาดไม่ยอมเชื่อต่อพระองค์ไหนอีกเลย ไม่เชื่อถือในพระธรรมจากพระองค์อื่น หรือไม่ฟังเทปธรรมะของพระองค์อื่นๆ แต่อย่างใด จะมีความเชื่อฝังใจอยู่กับพระองค์เดียวเท่านั้นหรือเชื่อว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์องค์อื่นเป็นพระอรหันต์ไม่ได้เลย ถ้าหากแต่ละกลุ่มมีความเชื่อในครูอาจารย์ของตัวเองอย่างนี้ จะเกิดความแตกแยกของหมู่ชาวพุทธด้วยกัน แต่ละกลุ่มก็จะยกเหตุผลในความดี ความเด่นของอาจารย์ตัวเองเพื่อชูโรง เพื่อเชิญชวนคนอื่นเป็นสมาชิกเพิ่มให้มากเอาไว้ มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ใช้พลัง ในการต่อรองว่ากลุ่มนี้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์นี้ กลุ่มนั้นเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์นั้น เมื่อเป็นไปในลักษณะนี้เกิดขึ้น พระพุทธศาสนาจะมีความบอบช้ำเพียงใด ขอให้ทุกคนศึกษาเรื่องนี้ให้ดี

อีกจุดหนึ่งให้เรามองมุมกลับดูบ้างว่า สมณะนั้นจะเชื่อถือ และผูกขาดต่อลูกศิษย์ได้หรือไม่ เป็นไปได้เพราะเป็นปุถุชน ต้องหวังผลประโยชน์จากลูกศิษย์อยู่แล้ว มีพระบางองค์ได้ผูกขาดกับลูกศิษย์บางกลุ่ม ได้สัญญาต่อลูกศิษย์ว่า ถ้าเข้ามาเป็นลูกศิษย์แล้ว ห้ามไปเป็นลุกศิษย์พระองค์อื่นอีก ถ้าขืนไปจะต้องขาดจากกันไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์กันอีกต่อไป ในเหตุนี้มีช่องทางให้เกิดขึ้นได้ ที่เรียกว่า ศิษยามัจฉริยะ หมายถึงพระหวงลูกศิษย์ หรือพระหวงตระกูล ถ้าได้ตระกูลที่มีฐานะร่ำรวยอุปัฏฐาก ให้ความสะดวกสบายในปัจจัยสี่ที่สมบูรณ์ หากพระองค์อื่นไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับตระกูลของเราแล้ว จะมีปฏิกิริยา โต็ตอบขัดขวาง กีดกัน ทุกวิถีทาง เรื่องอย่างนี้มีมาแล้ว ในสมัยครั้งพุทธกาล จึงมีคำบาลีว่า มจฺฉริยตกูล ที่แปลว่า มีความตระหนี่ในตระกูล หรือมีบาลีอีกว่า อาวาสมจฺฉริย แปลว่า พระผู้หวงอาวาส (หวงวัด) ความหวงความตระหนี่ ที่เป็นเรื่องของพระมีมากมายหรือลูกศิษย์ก็มีความหวงในครูอาจารย์ก็มีมากเช่นกัน

ฉะนั้นพวกเราเป็นชาวพุทธ ควรทำตัวในทางที่ดีอวดศาสนาอื่นเขาบ้าง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีเหตุผลรองรับในความถูกต้อง คนที่เคยนับถือศาสนาอื่นมาแล้ว เมื่อได้เข้ามาศึกษาหลักพระพุทธศาสนาเขายอมรับว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผลที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดในโลก ขณะนี้ต่างคนต่างศาสนาพากันเข้ามานับถือพระพุทธศาสนากันมากขึ้น แต่ไม่ได้เปิดเผยเป็นทางการเท่านั้น ผู้ที่เข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นปัญญาชนมีการศึกษาดีและมีเหตุมีผลในตัวของเขาเอง ถึงเขาไม่ได้ประกาศตัวเป็นพุทธมามกะ ต่อหน้าพระสงฆ์ แต่เขาก็เป็นชาวพุทธโดยปริยาย และไม่ควรพูด ว่าประเทศอะไรบ้าง ที่เป็นชาวพุทธวิธีลึกลับอย่างนี้ แต่เขาจะปิดบังในสังคมศาสนาเดิมเอาไว้ แต่ใจของเขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชาวพุทธเต็มตัว

ที่พวกเราเป็นชาวพุทธนั้น ก็เป็นความจริงตามที่เราพูด แต่เป็นชาวพุทธกี่เปอร์เซ็นต์ ให้เรามาประเมินดูตัวเราเองก็แล้วกัน เหตุนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียบเรียง เรื่องกาลามสูตรขึ้นมา มิใช่ว่าเป็นเรื่องใหม่กาลามสูตรนี้เป็นพุทธพจน์ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว จึงขยายข้อความนั้นยาวออกไป เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้น ขอให้ท่านอ่านไปพิจารณาไปในเหตุผลว่า เราจะประพฤติตนอย่างไรจะไม่ทำให้ตนเอง ตกอยู่ในกลุ่มกาลามชนกลุ่ม ถ้าหากท่านยังมีความสงสัย และยังไม่เข้าใจในธรรมหมวดใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะให้ความกระจ่างเพิ่มเติม คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ แก่ตัวท่านอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ขอให้ท่านนำเรื่องกาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อนี้มาพิจารณา ท่านจะมีวิธีการอย่างไรในภาคปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเรา มีความเชื่อแบบกาลามชน เราต้องฝึกความเห็นให็ถูกต้อง แล้วจึงเชื่อในภายหลัง ขอให้ท่านจงมีสติปัญญารอบรู้ในสัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว หากกุศลบารมีเราพร้อมแล้ว ขอให้ท่านจงก้าวสู่กระแสธรรมคือมรรคผลนิพพานด้วยเทอญ

อภินิหารมี ๓ อย่าง

๑. อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้นานาประการ
๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ รู้วิธีพูดดักใจคนอื่นได้
๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มีความสามารถแสดงธรรมอย่างมีเหตุ ทำให้คนผู้รับฟังมีความเข้าใจในหลักสัจธรรมได้อย่างถูกต้อง อภินิหาร ๑-๒ นั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ พระพุทธเจ้าได้สรรเสริญในข้อ ๓ คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น หลวงปู่มั่นได้พยากรณ์ไว้ว่า จะมีช้างเผือกหนุ่มแสดงอภินิหารนั้นหมายถึง อนุสาสนีปาฏิหาริย์เท่านั้น ขอผู้อ่านจงเข้าใจตามนี้


ข้อที่ ๙.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ผู้พูดเป็นที่น่าเชื่อถือได้

อย่าได้เชื่อเพียงว่า ผู้พูดเป็นที่น่าเชื่อถือได้

นี่ก็เป็นอุบายหนึ่งที่เราควรนำมาฝึกตัวเอง เพื่อเป็นการฝึกฝนนิสัยไม่เชื่ออะไรเร็วเกินไป ถึงผู้พูดจะเป็นที่น่าเชือ่ถือได้ก็ตาม เรื่องที่คนอื่นพูดนั้น เราอย่าเพิ่งน้อมใจเชื่อไปเสียหมด ให้เอาเรื่องที่ได้ฟังนั้นมาพิจารณาให้เข้าใจในเหตุผลก่อนว่า เรื่องที่ได้ฟังมามีเหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ ให้ใช้สติปัญญามาวิจัยวิเคราะห์ ตีความหมายในเรื่องที่ได้ยินมาให้เข้าใจ ให้เป็นไปในหลักธรรมที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ผ่านการพิจารณาด้วยปัญญา รอบรู้ตามความเป็นจริง ในสิ่งนั้นเรื่องนั้นจนเกิดความแยบคาย ว่าเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ แล้วจึงตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อในภายหลัง ถ้าเชื่อเร็วเกินไปจะทำให้ได้รับความโง่เขลางมงายตามมาโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าเชื่ออะไรแบบมั่วๆ โดยขาดเหตุผลและหลักฐาน จะเป็นศรัทธาวิปยุต เชื่ออะไรจะขาดสติปัญญา จะนำพาตัวเองเกิดความงมงายไร้เหตุผล เรียกว่าเป็นคนหูเบาใจเบา เอาความเชื่อตัวเองไปฝากไว้กับความเห็นของคนอื่น ผลที่ได้รับก็คือความผิดหวัง ความเสียใจที่ตัวเองได้ตักสินเชื่อไปในทางที่ผิดแล้ว

ฉะนั้น เราอย่าเป็นนิสัยเชื่อแต่คนอื่นเพียงฝ่ายเดียว เราต้องฝึกสติปัญญาหาวิชาความความรู้ มาเป็นองค์ประกอบมาเป็นเหตุผลของตัวเองให้มาเอาไว้จะได้ซื้อว่าเป็นที่พึ่งตัวเองได้ จะได้ไม่ถูกหลอกต้มตุ๋นจากคนอื่นต่อไป ดังจะได้ยกเอาประวัติของบุคคลที่เชื่อง่ายมาเป็นอุทาหรณ์สอนตัวเองดังนี้ ในสมัยครั้งพุทธกาลมีภิกษุกลุ่มหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า มีความต้องการฟังธรรม เพื่อจะนำภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่างๆ พากันฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้จดจำเอาหมวดธรรมนั้นๆ ใส่ใจเอาไว้เป็นอย่างดี แล้วกราบลาพระพุทธเจ้าเพื่ออกธุดงค์วิเวก หาสถานที่ภาวนาปฏิบัติต่อไป ในขณะที่เดินทางอยู่นั้น บังเอิญได้ไปพบพระสารีบุตร ทั้งสองฝ่ายก็ได้สนทนาธรรมซึ่งกันและกัน กลุ่มที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก็ได้เล่าหมวดธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าให้แก่พระสารีบุตรฟัง แล้วถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าสอนมาอย่างนี้ๆ พระสารีบุตรเชื่อหรือไม่ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบทันทีว่า ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อพระเหล่านั้นเมื่อได้ฟังพระสารีบุตรตอบว่าไม่เชื่อเท่านั้น ก็เกิดความโกรธภายในใจ พระเหล่านั้นจึงได้นำเรื่องนี้กลับไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ได้ไปสนทนาธรรม กับพระสารีบุตรในหมวดธรรมต่างๆ แต่พระสารีบุตรไม่เชื่อ

เมื่อพระพุทธเจ้าได้รับฟังอย่างนี้ พระองค์ก็ให้พระเหล่านั้น ไปนิมนต์พระสารีบุตรเข้าเฝ้าทันที พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่เราตถาคตได้อธิบายให้พระเหล่านี้ได้รับฟัง ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เป็นของจริงทั้งนั้น ที่ว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อนั้นจริงหรือไม่ พระสารีบุตรได้กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า จริงพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า ทำไมจึงไม่เชื่อในธรรมของเราตถาคตเล่า พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ธรรมหมวดนั้นๆ ข้าพระองค์ยังไม่ได้พิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงก่อน ข้าพระองค์จึงตอบพระเหล่านี้ว่า ยังไม่เชื่อในธรรมหมวดนั้นพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า นี้ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตร เป็นนักปราชญ์ผู้ฉลาดในธรรม ไม่เชื่ออะไรง่ายดายเหมือนพวกเธอ พวกเธอทั้งหลายควรเอาแบบอย่างพระสารีบุตรผู้เป็นปราชญ์นี้ ตราบใดที่ยังไม่รู้เห็นธรรมหมวดนั้นๆ ต้องเอาธรรมหมวดนั้นๆ มาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญาของตัวเองก่อนจึงตัดสินใจเชื่อในภายหลัง มิใช่ว่าได้ฟังธรรมมาอย่างไรก็ตัดสินใจเชื่อก็ตาม ถ้าเป็นนิสัยเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ได้พิจารณาให้รู้เห็น ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาของตัวเอง จะมีความโง่เขลาเป็นสมบัติของตัวเอง

นี้พวกเราทั้งหลาย เมื่อได้รับฟังเรื่องนี้แล้วพวกเราทั้งหลายควรเอามาเป็นแบบอย่าง ฝึกนิสัยตัวเองให้เหมือนักบพระสารีบุตรให้ได้ ถ้าทำได้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุกับท่านมาในที่นี้ด้วย การอ่านหนังสือธรรม การฟังเทศน์ในรูปแบบใด ขอให้เราเอาธรรมที่ฟังมาพิจารณา วิจัย วิเคราะห์ให้ดี และมีเหตุผลเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ นี้คือ นิสัยของนักปราชญ์ผู้ฉลาดธรรม ถ้าเป็นทางโลก คนที่เชื่ออะไรง่ายก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดไป ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีความอยาก เช่นอยากรวยในเงินทองกองสมบัติ และขาดความยั้งคิดในทางสติปัญญา ใครพูดออกมาอย่างไรในวิธีรวยทางลัด ถ้าไม่รู้เท่าทันในเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายในวิธีรวยทางลัด ในวิธีการต้มตุ๋นหลอดหลงแล้ว เขาพูดอย่างไรก็เชื่อตามว่าต้องได้เงินก้อนมหาศาล ดังข่าวที่ออกมาทางทีวี หนังสือพิมพ์ ที่รู้กันในยุคปัจจุบัน ฉะนั้นความเชื่อง่ายจะทำให้ตัวเองได้รับความเดือนเป็นทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย เพราะสันดานของคนเราส่วนใหญ่ จะมีนิสัยในความเชื่อง่าย ได้ฟังเรื่องอะไรจากบุคคลที่พอเชื่อถือได้ ก็ตัดสินใจเชื่อไปอย่างนั้น เชื่อแบบไม่ได้คิดพิจารณาในเหตุผลแต่อย่างใด หรือวัยคะนองของหญิงสาว ที่มีข่าวออกมาในทางที่ไม่ดี เรื่องอย่างนี้มีข่าวอยู่ทุกประเทศทั่วโลก นี้ก็มาจากความเชื่อเป็นต้นเหตุ นี่เป็นเพียงให้ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อให้ทุกคนได้ตั้งสติ ฝึกใจให้มีปัญญารอบรู้ ในเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเกิดความเสียหาย ถึงเราจะได้รับฟังมาในเรื่องอะไร หรือคิดว่าเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือได้ก็ตาม เราต้องตั้งหลักให้ดีมีความรู้รอบตัวเอาไว้ เมื่อได้รับฟังในเรื่องใด เราจะได้พึ่งความรู้ความสามารถของตัวเองได้

ข้อที่ ๘.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ชอบใจที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของเรา

อย่าได้เชื่อเพียงว่า ชอบใจที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของเรา

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ ต้องมีสติปัญญาตีความหมายให้ชัดเจน เพราะตามปกติเราก็มีทิฏฐิ คือความเห็นอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ให้เราได้มาศึกษาทิฏฐิความเห็นของตัวเองว่า เห็นผิดหรือถูก เพราะตามปกติแล้ว คนเราจะมีความเห็นผิดเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว หากมีคนอื่นที่มีความเห็นผิดเหมือนกันกับเรา เรียกว่าเห็นผิดไปในทิศทางเดียวกับเรา เมือ่ได้เข้าไปสนทนาซึ่งกันและกันในเรื่องใดก็ตาม ความเห็นนั้นจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน การทำก็มีความคิดเห็นตรงกัน การพูดก็มีความเห็นตรงกัน ความเห็น ความเห็นในทุกเรื่องก็มีความเข้าใจที่เหมือนกัน ความผูกพันในหลักความเชื่อใจไว้ใจกัน เพราะตรงกับความเห็นของเรา สมมติว่ามีครูบาอาจารย์องค์นั้นท่านสอนสมาธิมาดี มีการสอนอยู่เสมอว่า ทำสมาธิไปเถอะ เมื่อจิตมีความสงบแล้วจะเกิดปัญญาขึ้น เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ก็จะไปละกิเลสตัวนั้นและละตัณหาตัวนี้ เมื่อเราได้รับการสอนมาอย่างนี้ และเราก็มีความเห็นเป็นอย่างนี้แล้ว ฉะนั้นการที่ได้ฟังครูบาอาจารย์อธิบายใรการทำสมาธิว่า เมื่อจิตสงบแล้วปัญญาจะเกิด ทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาว่าทิฏฐิความเห็นของอาจารย์ ก็ตรงกันกับความเห็นของเรา และเข้ากันได้อย่างสนิทแนบแน่น มีความเชื่อมั่นเคารพ นับถือ ในครูอาจารย์องค์นั้นอย่างฝังใจ สายทางปฏิบัติก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงเกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ใครจะมาพูดว่าทิฏฐิความเห็นอย่างนี้ผิดก็จะมีการต่อต้านเอาชีวิตเข้าประกันว่าถูกต้องแล้ว ถ้าทิฏฐิความเห็นนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดก็จะมาเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมตลอดไป

ในลักษณะการอบรมสั่งสอนในวิธีนี้จะมีสำนักน้อยใหญ่สอนกันในวิธีอย่างนี้ มีอยู่ถึง ๙๙.๙๙% ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศต่างพากันสอนวิธีทำสมาธิ ให้จิตมีความสงบแล้ว จะมีปัญญาเกิดขึ้น ตามความเข้าใจของผู้สอน การทำสมาธิให้จิตมีความสงบนั้นย่อมทำได้ เมื่อจิตมีความสงบแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขอให้ท่านสังเกตดูตัวเองบ้างว่า ปัญญาเราได้เกิดขึ้นหรือยัง ถ้าท่านได้ศึกษาในประวัติของพระอริยเจ้า ในยุคสมัยครั้งพุทธกาลท่านจะเข้าใจได้ทันทีว่า ในบั้นปลายพระพุทธศาสนา จะเกิดปัญหาในทิฏฐิความเห็น เป็นดังที่ได้อธิบายมานี้พระพุทธองค์จึงตรัสเรื่องนี้เอาไว้ เพื่อให้กุลบุตรลูกหลานที่เกิดมา ในบั้นปลายพระพุทธศาสนา ได้คิดพิจารณาในเหตุผลดูบ้าง ในบางท่านอาจจะมีสติปัญญาและเหตุผล ก็จะมีอุบายวิธีที่เปลี่ยนทิฏฐิในความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด ให้เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิมีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรมได้ และจะเปลี่ยนนิสัยในทางความเชื่อในทางที่ผิด ให้เกิดเป็นความเชื่อในทางที่ถูกได้ ในยุคนี้ถือว่าเรามีความโชคดี ที่มีพระพุทธศาสนา เป็นสรณะที่พึ่งทางใจ ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกหมวดหมู่ และทุกขั้นตอนล้วนแต่เป็นคำสอนที่เป็นจริง มีบทอ้างอิงพร้อมด้วยเหตุผลที่เชื่อถือได้
สิ่งใดผิดพระองค์ก็ตรัสไว้ว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งใดถูกพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่าสิ่งนั้นถูก จะเป็นฝ่ายโลกียธรรมหรือฝ่ายโลกุตรธรรม ทุกคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ข้อสำคัญจะเป็นที่พวกเรา เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า นำมาตีความหมายผิดไปเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้า เกิดความมัวหมอง และไม่ถูกต้องตามหลักเดิมที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้

พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณรู้แล้วว่า เมื่อบั้นปลายพระพุทธศาสนา จะมีผู้ตีความในคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป คำสอนของพระองค์จะแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าแล้วเอาคำสอนหมวดนั้นไปศึกษา เมื่อหนังสือมีหลายหมวดก็ยิ่งแตกต่างกันออกไปหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีความเห็นตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง เมื่อศึกษาในหมวดธรรมต่างๆ ก็จะเกิดทิฏฐิ มีความเห็นไม่ตรงกันจำเป็นต้องจับกับเป็นกลุ่มเป็นสาย ถ้ากลุ่มนั้นสายนั้นมีความเข้าใจในธรรมเหมือนกัน การปฏิบัติก็ไปในทิศทางเดียวกันร่วมกันได้ ชาวพุทธที่มีอยู่ในโลกนี้หลายประเทศ แต่ละประเทศ แยกกันออกมีหลายนิกาย เฉพาะประเทศไทยเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่แล้ว และแยกออกเป็นหลุ่มย่อยที่เรียกว่า สายนั้นสายนี้มีจำนวนมากเลยทีเดียว ใครชอบใจในทิฏฐิ ความเห็นสายใดก็เข้าไปปฏิบัติตามสายนั้น ในบางกลุ่มบางสายก็ใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงว่ากลุ่มเราสายเรา มีการภาวนาปฏิบัติถูกต้องเพียงสายเดียว กล่าวคำชั่วร้ายถากถางไปว่า กลุ่มอื่นสายตาอื่นปฏิบัติผิด หรือโฆษณาประกาศให้คนในกลุ่มอื่นสายอื่น มีความเชื่อถือแล้วคล้อยตาม ทางการเมืองเขาพูดกันว่าดูด ส.ส.กัน ทางชางพุทธจะว่าดูดศรัทธา ในลักษณะนี้จะว่ามีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ หลายคนพอจะเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ ในยุคสมัยนี้เป็นอย่างนี้อีกร้อยกว่าปีขึ้นไป ชาวพุทธจะแยกเป็นกลุ่มเป็นสาย เพิ่มขึ้นอีกไม่รู้ว่าจะมีมากน้อยเท่าไร ใครชอบใจทิฏฐิ ความเห็นในกลุ่มใดสายใด ก็ต้องไปเกาะกลุ่มรวมกันอยู่สายนั้น

นักปราชญ์ท่านมีการเปรียบเอาไว้ว่า เรื่องของตาบอดคลำช้าง ใครคลำถูกจุดไหน ก็จะพูดว่าช้างเป็นตัวอย่างนั้นไป ความเข้าใจในทิฏฐิคือความเห็นไม่ตรงกัน จึงมีความขัดแย้งกันในความเห็น ใครก็ว่าตัวถูก หาอุบายวิธีเพื่อที่จะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายหนึ่งมาเชื่อในความเห็นของตัวเอง เมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็ไปถกเถียงกันอยู่ใต้ร่มมะกอกที่มีผลสุกงอม ขณะนั้นมีมะกอกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกหัวคนตาบอดคนหนึ่ง อะไรเกิดขึ้นให้เราคิดดูก็แล้วกัน ถึงจะมีคนตาดีที่รู้จักช้างทั้งตัวเป็นอย่างไร จะไปทำความเข้าใจอธิบายเรื่องช้างให้ฟัง คนตาบอดเหล่านั้นจะเชื่อตามคนตาดีหรือไม่ จึงยากมากที่จะให้กลุ่มคนตาบอดนั้นกลับใจได้ นี้ฉันได้ ชาวพุทธทั้งหลาย ในุยคนี้สมัยนี้ ให้เราได้พิจารณาดูในเหตุการณ์อย่างนี้ก็แล้วกัน

ฉะนั้นชาวพุทธทั้งหลาย จงมาศึกษากันในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจให้เป็นไปในธรรมาธิปไตยเอาความจริงในสัจธรรมเป็นหลัก ใช้เหตุผลมาเป็นเครื่องตัดสินชี้ขาดยอมรับในความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีความชัดเจนอยู่แล้ว พระองค์ตรัสว่าสิ่งนั้นผิดก็ต้องผิด พระองค์ตรัสว่าถูกต้องก็ต้องถูก ถ้าเราเอาอัตตาธิปไตยเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมในคำสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อไร ความเห็นของเราก็จะมีการเปลี่ยนไปในทันที จะตีความหมายในคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เข้ากันกับความเห็นของตัวเองไปนี้คือจุดเสื่อมของพระพุทธศาสนา อนาคตต่อไปภายภาคหน้า กุลบุตรลูกหลานที่เกิดมาในสุดท้ายภายหลังได้อ่านหนังสืออย่างนี้ ก็จะมีความเห็นผิดเข้าใจผิดติดต่อกันไป ไม่มีผลดีกับคนในยุคนั้นเลย ฉะนั้นขอให้ชาวพุทธในยุคนี้ ได้วางพื้นฐานในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง เพื่อรองรับลูกหลานที่จะเกิดมาในวันข้างหน้าให้เขาได้รับความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อรองรับลูกหลานที่จะเกิดมาในวันข้างหน้าให้เขาได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ในคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไป จนถึงยุคกาลสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่าหลังจากพระพุทธองคืได้อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว ต่อไปอีก ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นจากโลกนี้

ข้อที่ ๗.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรึกตามอาการ

อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรึกตามอาการ

คำว่า ตรึก ในความหมายง่ายๆ ก็คือนึกขึ้นได้นั้นเอง คำว่า ตรอง ก็หมายความว่า คิดพิจารณาไปตามอาการ ฉะนั้นการตรึกหรือนึกขึ้นได้ในสิ่งใดเรื่องใด ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่า การตรึกได้อย่างนั้นจะมีความถูกต้องไปเสียหมด ตรึกถูกก็เป็นได้ หรือตรึกผิดก็เป็นไปได้เช่นกัน ฉะนั้นการตรึกนี้มีเหตุผลให้เกิดขึ้นในส่วนลึกของใจ เรียกว่า ตรึกไปตามความเห็น ถ้าความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิก็จะมีการตรึกผิด ถ้าความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็จะมีการตรึกถูก คำว่า ตรึก ในอีกความหมายหนึ่ง เรียกว่า ระลึกได้ ก็หมายถึง สติ ก็คือระลึกได้นั่นเอง ความระลึกได้ของสติก็มีเหตุให้ระลึกได้สองอย่าง คือ สัมมาสติ ความระลึกได้ถูกต้องชอบธรรม มิจฉาทิฏฐิ จะมีความระลึกได้ไปทางทุจริต เป็นมิจฉาหาความถูกต้องชอบธรรมไม่ได้เลย ฉะนั้นการตรึกจึงเป็นไปได้ในทางโลกและทางธรรม หรือการตรึกตรองของคนพาลสันดานชั่ว ก็ตรึกในรูปแบบหนึ่ง การตรึกชองผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิต ก็มีการตรึกไปในอีกรูปแบบหนึ่ง ทุกคนจะมีการตรึกด้วยกัน จะมีการตรึกผิดหรือถูกเราต้องใช้วิธีการตรองนั้นคือ นำการตรึกมาพิจารณาด้วยปัญญา ให้รู้เห็นในเหตุผลที่เป็นจริง ก็จะเกิดความเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ตรึกอย่างไรเชื่อถือได้ ตรึกอย่างไรเชื่อถือไม่ได้ เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาจนเรื่องนั้น เกิดความแยบคายและหายความสงสัย
ตรึกอีกรูปแบบหนึ่งคือ ระลึกรู้ไปตามอารมณ์ของจิต อารมณ์ของจิตยังตกอยู่ในสังขารที่เรียกว่าสังขารจิต สังขารจิตนี้เองก็จะไปตรึก ในสมมตินั้นบ้างและตรึกในสมมตินี้บ้าง แล้วก็ขยายสมมติออกไปที่เรียกว่าปรุงแต่ง จึงเป็นสังขารการปรุงแต่งไปตามสมมติทั้งหลาย แล้วขยายวงกว้างออกไปโดยไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ และเข้าสู่วงจรของภพทั้งสาม อันมีกิเลสตัณหาพาให้เป็นไป ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ อีกประการหนึ่งการตรึกนี้ย่อมเกิดกับผู้ที่ชอบทำสมาธิความสงบอยู่บ่อยๆ สงบอยู่นานๆ อย่างต่อเนื่อง จนจิตได้เกิดความวางเฉย หรือเรียกว่าจิตว่าง ไม่มีอารมณ์แห่งความรัก ความชัง หรือว่างจากตัณหาราคะ ถ้าเป็นในลักษณะนี้อาจตรึกไปว่า นี้เป็นภูมิธรรมของพระโสดาบันบ้าง เป็นภูมิธรรมของพระสกิทาคามีบ้างเป็นภูมิธรรมของพระอนาคามีบ้าง เป็นทุกติยฌาณ เป็นตติยฌาณบ้าง เป็นจตุตถฌานบ้าง หรือรูปฌาณบ้าง อรูปฌาณบ้าง
ฉะนั้น การตรึกตรองอย่างนี้จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือความตรึกผิด ความเห็นผิด เข้าใจผิด จะกลายเป็นผู้สำคัญในตัวเองผิดไปโดยไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรึกตามอาการในลักษณะอย่างนี้ ถ้าผู้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญารอบรู้ในเหตุและผล และมีความรอบรู้ในหลักสัจธรรมตามความเป็นจริง สิ่งที่ตรึกผิดดังที่ได้อธิบายมา จะไม่เกิดการตรึกผิดแต่อย่างใด เพราะความเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ชอบธรรม ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรม เป็นหลักยืนตัวที่มั่นคงแล้ว ธรรมที่เป็นสัมมาในหมวดอื่นๆ ก็จะดึงดูดเข้ามาหาความเห็นชอบนี้ ทั้งหมดเป็นอุบายการปฏิบัติธรรมที่เป็นไปในความเจริญ เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติ เข้าทางแห่งองค์มรรคได้แล้ว ไม่มีทางแยกอื่น ที่จะทำให้เกิดความหลงผิดแต่อย่างใด ใจก็ไหลทวนกระแสของกิเลสตัณหาน้อยใหญ่ และเป็นไปในมรรคผลนิพพานในเวลาอันใกล้นี้

ข้อที่ ๖.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า คาดคะเนไปตามเหตุผลปรัชญาเพียงอย่างเดียว

อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า คาดคะเนไปตามเหตุผลของปรัชญาเพียงอย่างเดียว

นี้ก็เป็นพุทธพจน์อีกอย่างหนึ่ง เราควรนำมาวินิจฉันวิเคราะห์ พิจารณาให้ดีตามหลักวิธีที่เขาคาดคะเนเอาไว้ว่า สิ่งนั้นควรเป็นอย่างนั้นสิ่งนี้ควรเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นการคาดคะเนไปตามหลักการอาจผิดถูกได้ ถ้าหากคาดการณ์เอาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเอง ตีความหมายเข้าข้างตัวเอง หาเหตุผลมาประกอบเพื่อเข้าข้างตัวเอง ถ้าเป็นในลักษณะนี้ ย่อมผิดไปจากธรรมาธิปไตย ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดความเข้าใจผิดทันที
ในยุคปัจจุบันนี้ ที่มีอุบายการปฏิบัติมีความแตกต่างกัน ก็เพราะตีความหมายในการคาดคะเน ในหลักธรรมเพื่อให้เข้ากันได้ กับความเห็นของตน ถ้าตนมีความเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด การคาดคะเนก็จะผิดไปตามความเห็นของตนในทันที เพื่อให้มีความสัมพันธ์กลมกลืนไปในความหมายนั้นๆ และเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ เข้ามาให้เป็นเรื่องเดียวกัน อ้างอิงเอาธรรมหมวดนั้นหมวดนี้บ้าง คาดคะเนเอาบ้าง ตีความหมายให้เข้ากันกับที่ตัวเองคาดคะเนเอาไว้ เหมือนบางศาสนา เขาก็มีอุบายวิธีตีความหมายในทางพระพุทธศาสนาแล้วเอามาประยุกต์ ใช้ให้เข้ากันกับศาสนาของเขาอย่างกลมกลืนกัน ตีความหมายโยงใยให้เป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้ผู้อ่านที่มีสติปัญญาน้อย เกิดความเห็นคล้อยตามและเชื่อว่า ศาสนานั้นๆ มีหลักคำสอนเหมือนกันกับพระพุทธศาสนา เขาหารู้ไม่ว่า หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา อย่างถูกต้องแม้จริงนั้นเป็นอย่างไร

ฉะนั้นการคาดคะเนและตีความหมาย ไปตามเหตุผลนั้น ยังเป็นดาบสองคม แม้แต่ชาวพุทธด้วยกันเอง ก็ยังตีความหมายในหมวดธรรมนั้นๆ มีความแตกต่างกันไป เช่น คำว่า พุทโธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ก็มีการตีความที่แตกต่างกันไป มีความแตกต่างกันอย่างไร ถ้าเรามีสติปัญญารอบรู้ตามความเป็นจริง จะรู้ได้ทันที เพราะมีชาวพุทธเราเข้าใจในความหมายการคาดคะเน ตีความกันไปตามความเข้าใจของแต่ละคน และไม่มีใครในยุคนี้สมัยนี้คัดค้านกันได้เลย และมีประโยคหนึ่ง ที่ตีความที่แตกต่างกันนั่นคือคำว่า “วิปัสสนา” นี้เป็นประโยคหนึ่ง ที่ชาวพุทธเราตีความหมายแตกต่างกันไป จึงทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสับสน เราเป็นชาวพุทธคนหนึ่งต้องพิจารณาให้ดี และก็มีหลายประโยคที่ชาวพุทธ ตีความที่แตกต่างกัน เราจะเชื่อถือเอาอุบายแนวทางใดเป็นหลักยืนตัว ขอให้เราตั้งสติให้ดี มีเหตุผลให้เป็นธรรมาธิปไตย เอาความเป็นจริงในธรรมเป็นเครื่องตัดสินใจ

ฉะนั้น การคาดคะเนเอาตามความเห็นของตัวเองมิใช่ว่าจะมีความถูกต้องไปเสียหมด ถึงจะมีเหตุผลมารองรับอยู่ก็ตาม ถ้าเหตุผลนั้นไม่เป็นธรรมก็จะเกิดความผิดพลาด จากหลักความจริงไปได้ เพราะความเข้าใจในทุกเรื่องจะมีหลักอนิจจัง ฝังอยู่ในตัวของมันเอง ตลอดไป ใครจะมีความเข้าใจอย่างไรถือว่าเป็นเรื่องของปุถุชน เหตุผลของปุถุชนกับเหตุผลของอริยชน จะเป็นผลออกมาแตกต่างกันอยู่แล้ว และในยุคสมัยนี้ เราจะมีความเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า ใครเป็นปุถุชนหรือริยชน จะมีเหตุผลอะไรมาเป็นตัววัด ดังข้าพเจ้าจะได้อธิบายเปรียบเทียบเอาไว้ เรื่องดูพระอริยเจ้านั้นดูยาก เพราะพระอริยเจ้าละนิสัยเดิมของตัวเองไม่ได้ นิสัยเดิมเป็นอย่างไร เป็นพระอริยเจ้าแล้วก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น จึงเปรียบเทียบได้ดังนี้
๑. น้ำลึก เงาลึก ๒. น้ำลึก เงาตื่น
๓. น้ำตื้น เงาลึก ๔. น้ำตื้น เงาตื้น
ข้อ ๑. คำว่า น้ำลึก หมายถึง จิตที่ได้บรรลุถึงแล้วซึ่งคุณธรรม เงาลึก หมายถึง เป็นผู้มีกิริยา มารยาทในการแสดงออกมาทางกายและวาจา มีความสำรวมดีหาที่ตำหนิไม่ได้เลย

ข้อ ๒. คำว่า น้ำลึก ก็หมายถึง จิตที่มีคุณธรรมที่เรียกว่า จิตเป็นพระอริยเจ้าแล้ว เงาตื้น หมายถึงกิริยาแสดงออกมาทางกายและวาจา ไม่มีความสำรวมเลย การทำการพูดก็เหมือนกับสามัญชนทั่วไปนิสัยไม่สมกับคำว่า สมณะ แต่อย่างใด ทั้งที่ใจได้บรรลุธรรมเป็นสามัญชนทั่วไปนิสัยไม่สมกับคำว่า สมณะ แต่อย่างใด ทั้งที่ใจได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้ว จึงเรียกว่า น้ำลึก เงาตื้น

ข้อ ๓. คำว่า น้ำตื้น หมายถึงจิตที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมที่เป็นอริยเจ้า คำว่า เงาลึก หมายถึง นิสัย กิริยา มารยาทสำรวมดี การยืน เดิน นั่ง นอน หรือการพูกมาทางวาจาก็เป็น กัปปิยะวาจา เป็นคำพูดที่สำรวม ประชาชนได้รับฟังคำพูดแต่ละประโยค ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา

ข้อ ๔. คำว่า น้ำตื้น ก็หมายถึงใจยังไม่ได้บรรลุในคุณธรรม เงาตื้น หมายถึงกิริยามารยาทขาดการสำรวมอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องนั้นไม่เหมาะสม ไม่เป็นกิจที่สมณะจะต้องทำ การพูดก็ไม่มีความสำรวม อยากจะพูดในเรื่องอะไร ก็ไม่คิดว่าคนอื่นจะเสียใจ พูดคำไม่สุภาพ หยาบคาย จะพูดดุด่าว่าใคร ก็ไม่คิดว่าคนอื่นจะเกิดความเสียหาย

ถ้าหากเอากลุ่มน้ำลึก เงาลึก และเอากลุ่มน้ำตื้น เงาลึก มาอยู่ร่วมกัน ทั้งสองกลุ่มนี้ จะมีกิริยามารยาทที่สำรวมเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ถ้าในลักษณะนี้ เราจะไม่รู้เลย กลุ่มไหนเป็นพระอริยเจ้าองค์จริงหรือองค์ปลอม ถ้าเอากลุ่มน้ำลึก เงาตื้น และเอากลุ่มน้ำตื้นเงาตื้น มาอยู่รวมกัน การแสดงออกด้วยกิริยา มารยาท ทางกายและวาจาจะไม่มีความสำรวมแต่อย่างใด ถ้าในลักษณะนี้ เราก็จะไม่รู้เลยว่า กลุ่มไหนเป็นพระอริยเจ้าองค์จริงหรือองค์ปลอม เช่นกัน ฉะนั้นการดูพระอริยเจ้าจะไม่รู้เลยว่า กลุ่มไหนเป็นพระอริยเจ้าองค์จริงหรืององค์ปลอมเช่นกัน ฉะนั้นการดูพระอริยเจ้าจะไม่รู้เลยว่า พระองค์ใด้ที่ได้บรรลุในคุณธรรมแล้ว และองค์ใดที่ยังไม่ได้บรรลุในคุณธรรม จึงดูได้ยาก รู้ได้ยากเพราะผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ไม่ได้ประกาศตัวว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว เราจึงไม่รู้ ส่วนมากจะพากันคาดคะเนเอาเอง
ถ้าครูอาจารย์ที่เรามีความเคารพกราบไหว้ มักจะได้รับคำพยากรณ์จากลูกศิษย์ว่า อาจารย์ของเราได้เป็นพระอริยเจ้าแล้ว ถ้าองค์ที่เราไม่เคารพเชื่อถือ ถึงท่านจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ก็จะไม่อยู่ในสายตา มิหนำซ้ำยังมีความปรามาสต่อท่านไปด้วย เหตุนั้นการคาดคะเนไปตามเหตุการณ์ จะเชื่อว่าเป็นของจริงไปเสียทั้งหมดไม่ได้ ในยุคบั้นปลายพระพุทธศาสนานี้ จะต้องมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นแน่นอน จะเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้แล้วทุกประการ