วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข้อที่ ๙.อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ผู้พูดเป็นที่น่าเชื่อถือได้

อย่าได้เชื่อเพียงว่า ผู้พูดเป็นที่น่าเชื่อถือได้

นี่ก็เป็นอุบายหนึ่งที่เราควรนำมาฝึกตัวเอง เพื่อเป็นการฝึกฝนนิสัยไม่เชื่ออะไรเร็วเกินไป ถึงผู้พูดจะเป็นที่น่าเชือ่ถือได้ก็ตาม เรื่องที่คนอื่นพูดนั้น เราอย่าเพิ่งน้อมใจเชื่อไปเสียหมด ให้เอาเรื่องที่ได้ฟังนั้นมาพิจารณาให้เข้าใจในเหตุผลก่อนว่า เรื่องที่ได้ฟังมามีเหตุผลพอเชื่อถือได้หรือไม่ ให้ใช้สติปัญญามาวิจัยวิเคราะห์ ตีความหมายในเรื่องที่ได้ยินมาให้เข้าใจ ให้เป็นไปในหลักธรรมที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ผ่านการพิจารณาด้วยปัญญา รอบรู้ตามความเป็นจริง ในสิ่งนั้นเรื่องนั้นจนเกิดความแยบคาย ว่าเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ แล้วจึงตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อในภายหลัง ถ้าเชื่อเร็วเกินไปจะทำให้ได้รับความโง่เขลางมงายตามมาโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าเชื่ออะไรแบบมั่วๆ โดยขาดเหตุผลและหลักฐาน จะเป็นศรัทธาวิปยุต เชื่ออะไรจะขาดสติปัญญา จะนำพาตัวเองเกิดความงมงายไร้เหตุผล เรียกว่าเป็นคนหูเบาใจเบา เอาความเชื่อตัวเองไปฝากไว้กับความเห็นของคนอื่น ผลที่ได้รับก็คือความผิดหวัง ความเสียใจที่ตัวเองได้ตักสินเชื่อไปในทางที่ผิดแล้ว

ฉะนั้น เราอย่าเป็นนิสัยเชื่อแต่คนอื่นเพียงฝ่ายเดียว เราต้องฝึกสติปัญญาหาวิชาความความรู้ มาเป็นองค์ประกอบมาเป็นเหตุผลของตัวเองให้มาเอาไว้จะได้ซื้อว่าเป็นที่พึ่งตัวเองได้ จะได้ไม่ถูกหลอกต้มตุ๋นจากคนอื่นต่อไป ดังจะได้ยกเอาประวัติของบุคคลที่เชื่อง่ายมาเป็นอุทาหรณ์สอนตัวเองดังนี้ ในสมัยครั้งพุทธกาลมีภิกษุกลุ่มหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า มีความต้องการฟังธรรม เพื่อจะนำภาวนาปฏิบัติในสถานที่ต่างๆ พากันฟังด้วยความตั้งใจ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้จดจำเอาหมวดธรรมนั้นๆ ใส่ใจเอาไว้เป็นอย่างดี แล้วกราบลาพระพุทธเจ้าเพื่ออกธุดงค์วิเวก หาสถานที่ภาวนาปฏิบัติต่อไป ในขณะที่เดินทางอยู่นั้น บังเอิญได้ไปพบพระสารีบุตร ทั้งสองฝ่ายก็ได้สนทนาธรรมซึ่งกันและกัน กลุ่มที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามาก็ได้เล่าหมวดธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าให้แก่พระสารีบุตรฟัง แล้วถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่ได้ฟังจากพระพุทธเจ้าสอนมาอย่างนี้ๆ พระสารีบุตรเชื่อหรือไม่ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบทันทีว่า ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อพระเหล่านั้นเมื่อได้ฟังพระสารีบุตรตอบว่าไม่เชื่อเท่านั้น ก็เกิดความโกรธภายในใจ พระเหล่านั้นจึงได้นำเรื่องนี้กลับไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ได้ไปสนทนาธรรม กับพระสารีบุตรในหมวดธรรมต่างๆ แต่พระสารีบุตรไม่เชื่อ

เมื่อพระพุทธเจ้าได้รับฟังอย่างนี้ พระองค์ก็ให้พระเหล่านั้น ไปนิมนต์พระสารีบุตรเข้าเฝ้าทันที พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามพระสารีบุตรว่า ธรรมที่เราตถาคตได้อธิบายให้พระเหล่านี้ได้รับฟัง ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เป็นของจริงทั้งนั้น ที่ว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อนั้นจริงหรือไม่ พระสารีบุตรได้กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าว่า จริงพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าถามต่อไปว่า ทำไมจึงไม่เชื่อในธรรมของเราตถาคตเล่า พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ธรรมหมวดนั้นๆ ข้าพระองค์ยังไม่ได้พิจารณาให้รู้เห็นตามความเป็นจริงก่อน ข้าพระองค์จึงตอบพระเหล่านี้ว่า ยังไม่เชื่อในธรรมหมวดนั้นพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า นี้ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตร เป็นนักปราชญ์ผู้ฉลาดในธรรม ไม่เชื่ออะไรง่ายดายเหมือนพวกเธอ พวกเธอทั้งหลายควรเอาแบบอย่างพระสารีบุตรผู้เป็นปราชญ์นี้ ตราบใดที่ยังไม่รู้เห็นธรรมหมวดนั้นๆ ต้องเอาธรรมหมวดนั้นๆ มาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญาของตัวเองก่อนจึงตัดสินใจเชื่อในภายหลัง มิใช่ว่าได้ฟังธรรมมาอย่างไรก็ตัดสินใจเชื่อก็ตาม ถ้าเป็นนิสัยเชื่ออะไรง่ายๆ โดยไม่ได้พิจารณาให้รู้เห็น ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาของตัวเอง จะมีความโง่เขลาเป็นสมบัติของตัวเอง

นี้พวกเราทั้งหลาย เมื่อได้รับฟังเรื่องนี้แล้วพวกเราทั้งหลายควรเอามาเป็นแบบอย่าง ฝึกนิสัยตัวเองให้เหมือนักบพระสารีบุตรให้ได้ ถ้าทำได้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุกับท่านมาในที่นี้ด้วย การอ่านหนังสือธรรม การฟังเทศน์ในรูปแบบใด ขอให้เราเอาธรรมที่ฟังมาพิจารณา วิจัย วิเคราะห์ให้ดี และมีเหตุผลเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ นี้คือ นิสัยของนักปราชญ์ผู้ฉลาดธรรม ถ้าเป็นทางโลก คนที่เชื่ออะไรง่ายก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดไป ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีความอยาก เช่นอยากรวยในเงินทองกองสมบัติ และขาดความยั้งคิดในทางสติปัญญา ใครพูดออกมาอย่างไรในวิธีรวยทางลัด ถ้าไม่รู้เท่าทันในเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายในวิธีรวยทางลัด ในวิธีการต้มตุ๋นหลอดหลงแล้ว เขาพูดอย่างไรก็เชื่อตามว่าต้องได้เงินก้อนมหาศาล ดังข่าวที่ออกมาทางทีวี หนังสือพิมพ์ ที่รู้กันในยุคปัจจุบัน ฉะนั้นความเชื่อง่ายจะทำให้ตัวเองได้รับความเดือนเป็นทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย เพราะสันดานของคนเราส่วนใหญ่ จะมีนิสัยในความเชื่อง่าย ได้ฟังเรื่องอะไรจากบุคคลที่พอเชื่อถือได้ ก็ตัดสินใจเชื่อไปอย่างนั้น เชื่อแบบไม่ได้คิดพิจารณาในเหตุผลแต่อย่างใด หรือวัยคะนองของหญิงสาว ที่มีข่าวออกมาในทางที่ไม่ดี เรื่องอย่างนี้มีข่าวอยู่ทุกประเทศทั่วโลก นี้ก็มาจากความเชื่อเป็นต้นเหตุ นี่เป็นเพียงให้ข้อคิดสะกิดใจ เพื่อให้ทุกคนได้ตั้งสติ ฝึกใจให้มีปัญญารอบรู้ ในเรื่องที่จะทำให้ตัวเองเกิดความเสียหาย ถึงเราจะได้รับฟังมาในเรื่องอะไร หรือคิดว่าเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือได้ก็ตาม เราต้องตั้งหลักให้ดีมีความรู้รอบตัวเอาไว้ เมื่อได้รับฟังในเรื่องใด เราจะได้พึ่งความรู้ความสามารถของตัวเองได้